นทท.ผวา! ถูกคนเร่ร่อนใช้ไม้ฟาด กลางเมืองพัทยา
คนเร่ร่อนใช้ไม้ฟาดนักท่องเที่ยวไต้หวัน กลางเมืองพัทยา ชาวบ้านหวั่นกระทบภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว
เวลา 22.30 น. วันที่ 21 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายจาก น.ส.เอ (นามสมมติ) และ มิสเตอร์เจ (นามสมมติ) อายุ 41 ปี ชาวไต้หวัน หลังถูกชายเร่ร่อนทำร้ายโดยไม่มีเหตุจูงใจ ขณะนั่งรอไรเดอร์ส่งของอยู่บริเวณหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านพัทยาใต้ ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โดย น.ส.เอ เปิดเผยว่า ขณะมิสเตอร์เจ กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่นั้น มีชายลักษณะคล้ายคนเร่ร่อน เดินเข้ามาใกล้โดยไม่ทราบว่าอยู่ในอาการมึนเมา หรือภายใต้อิทธิพลของสารเสพติดหรือไม่ ก่อนจะใช้ไม้ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ฟาดเข้าไปที่ใบหน้าของมิสเตอร์เจ อย่างแรง จนบริเวณกกหูได้รับบาดเจ็บ เลือดออกและใบหน้าบวมอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นคนร้ายได้เดินจากไปอย่างใจเย็น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังเกิดเหตุ ผู้เสียหายได้โทรแจ้ง น.ส.เอ ให้พาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งนำหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาเผยแพร่ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อเตือนภัยให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวรายอื่น รวมถึงตั้งรางวัลนำจับ 1,000 บาท สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสของคนร้าย โดยสามารถติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 080-480-4600
จากภาพวงจรปิดพบว่า คนร้ายเป็นชายรูปร่างผอม สูงประมาณ 166–170 เซนติเมตร สวมเสื้อแขนยาวสีดำ กางเกงขายาว มือข้างหนึ่งถือขวดเบียร์ อีกข้างถือไม้ลักษณะคล้ายท่อนไม้หรือกระบอง ก่อนจะตรงเข้าไปทำร้ายนักท่องเที่ยวอย่างไม่ทันตั้งตัว
น.ส.เอ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจอย่างมาก พร้อมทั้งกังวลถึงความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะในย่านที่ควรเป็นแหล่งพักผ่อนและสร้างรายได้ให้กับประเทศ กลับเกิดเหตุรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดย ชาวบ้านและผู้เสียหายเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกวาดล้างและจัดระเบียบบุคคลเร่ร่อนในพื้นที่อย่างจริงจัง พร้อมเสนอให้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในจุดเสี่ยงทั่วเมือง เพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย และกู้ภาพลักษณ์ของเมืองพัทยาในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาคนเร่ร่อนก่อเหตุในพัทยาไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้จะมีการกวาดล้างหลายครั้งในอดีต แต่ดูเหมือนว่ายังไม่มีแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน จึงจำเป็นต้องมีการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนในการรับมือกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน.
Advertisement
