จากกรณี นายอิธิพล อิ่มผึ่ง หรือ แจ็ค อายุ 31 ปี ขี่รถจักรยานยนต์มาเที่ยวงานประจำปีทุ่งศรีเมืองในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ขณะขี่รถกลับได้เกิดอาการคลั่งใช้มีดแหลมไล่แทงผู้หญิงและเด็ก เสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บ 6 ราย ก่อนถูกตำรวจนำกำลังล้อมจับคนร้ายอยู่หน้าร้านขายยารวมชัยเภสัช ถ.ประจักษ์ศิลปาคม ใกล้กับวงเวียนเฉลิมพระเกียรติ จ.อุดรธานี เหตุเกิดวันที่ 5 ธ.ค. 63
ทั้งนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Tukta Haha ได้เผยแพร่คลิปเหตุคนร้ายไล่แทงชาวบ้าน เสียชีวิต 2 ราย เจ็บ 6 คน จากกล้องวงจรปิดของหน้าร้านค้าแห่งหนึ่งบนถนนประจักษ์ศิลปาคม ไม่ไกลจากจุดที่คนร้ายถูกจับกุม เป็นภาพพลเมืองดีหลายคนพยายามจับคนร้าย
กล้องวงจรปิด 2.56 นาที จับภาพพนักงานเคอร์รี่ถีบรถของคนร้ายจนล้มลง จากนั้นนายแจ็คทิ้งรถ และนายน้อยไล่ตีนายแจ็ค จากนั้นมีหนักงานแกร็บจอดรถแล้วตามมาช่วย พนักงานเคอร์รี่ย้อนกลับไปช่วยด้วย แล้วนายแจ็ควิ่งไล่ตามทุกคน
จากนั้นนายน้อยกับหนุ่มแกร็บหยิบพลั่วและปรี่ไปหาแจ็ค นายแจ็คปรี่ไปที่เกาะกลางถนน และแทงนางสาวอรวรรณเหยื่อคนสุดท้าย ที่เป็นสาวทอม นายน้อยกับหนุ่มแกร็บจึงเข้าไปช่วย นายแจ็คก็วิ่งหนี ส่วนหนุ่มเคอร์รี่ก็วิ่งเข้าไปช่วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดที่มา! ยันต์หนุมานหนุ่มแทง 2 ศพ เผยของเขมรเข้าตัวทำคลั่ง พระวัดดังปัดลงอักขระให้ (คลิป)
- เผา “น้องจูน” เหยื่อแทง 2 ศพ สลดแม่เคาะห้องคุยลูกทุกเช้า - เจ๊อ๋อโผล่เผยฝันน้องอยากเจอ (คลิป)
- พ่อ “น้องอุ๋งอิ๋ง” เหยื่อไอ้คลั่งขอใช้ยาแรงประหารชีวิต ครูเล่าเพื่อนถูกแทงเจ็บยังช็อก (คลิป)
- บุกห้องนอนไอ้คลั่งเจอยันต์เกลื่อน แฉชอบฟังเสียงเชิดสิงโตหลอนทุกวันพระ (คลิป)
- ตำรวจยังอึ้ง ไอ้คลั่งฆ่า 2 ศพของขึ้นมีพลังมหาศาล สักหนุมานทำพัดลมดับ (คลิป)
- เปิดใจสาวเหยื่อไอ้คลั่ง ล็อกคอหวิดโดนแทงดับอีกศพ เผยนาทีระทึก ฮึดสู้กำมีดถีบหน้าหงาย (คลิป)
วันที่ 8 ธ.ค. 63 นายธนพงษ์ ชัยประสพ หรือ น้อย อายุ 54 ปี นักธุรกิจชาวอุดรธานี ในคลิปเหตุการณ์ถือคราด เล่าวว่า ตนเห็นเหตุการณ์ 2 คนถูกแทงตอนแรก จนคนร้ายขี่รถหนีออกไปทางสถานีตำรวจ เห็นที่มือมีมีด จึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามคนร้ายไปถึงแยก ตอนนั้นไม่มีอาวุธ คนวิ่งเข้าไปร้านรับซื้อของเก่า คว้าเอาคราดเหล็กจากร้านใช้เป็นอาวุธไล่คนร้ายต่อตามมาทางอนุสาวรีย์กรมหลวงประจักษ์ฯ ขี่มาทางถนนสุรการ ซึ่งคนร้ายก่อเหตุทำร้ายนักศึกษาผู้หญิง
ตนรู้สึกโกรธมากจนทนไม่ไหว บีบแตรรถต่อเนื่องขี่ไล่ตามตะโกนเตือนไปด้วย คนร้ายก็หนี ตนขี่ตามแต่รถไม่เร็ว ก็เริ่มต้องให้คนเข้ามาช่วยไล่ คันแรกเป็นน้องผู้หญิงมากับแฟน จะขี่ไปชาร์จคนร้าย แต่ตนได้ห้ามไว้บอกว่าคนร้ายมีอาวุธ คนร้ายขี่หนีไปถนนวัฒนาเข้าไปในซอยทางเกวียน ซอยเชิดสมบัติ ก็มีน้องเคอร์รี่และแกร็บเข้ามาช่วยไล่ตามคนร้าย จนน้องเคอรี่ใช้เท้าถีบรถคนร้ายล้ม ตนจึงเอาคราดออกมาป้องกันตัวไม่ได้เข้าไปชาร์จ เพื่อรอเวลาให้เจ้าหน้าที่มาช่วย
โดยปกติเป็นคนไม่เล่นโซเชียลมีเดีย ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีไลน์ ลูกสาวเอาคอมเมนต์ที่ชื่นชมมาให้ดู ตนได้อ่านก็น้ำตาไหล อยากขอบคุณทุกคน ตนไม่ใช่ฮีโร่ ตนเป็นคนคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ ดีใจที่คนอุดรธานีไม่ทิ้งกัน อยากเข้าไปกดไลก์ คอมเมนต์ขอบคุณทุกท่านด้วย
นายประสิทธิ์ น้อยจุฬา อายุ 30 ปี แกร็บไบก์พลเมืองดี เปิดเผยว่า วันที่ 5 ธ.ค. ช่วงบ่ายกว่าตนเพิ่งจะส่งอาหารเสร็จ ขณะนั้นตนสังเกตเห็นพี่น้อย ผู้ชายใส่เสื้อสีเขียว น้องอายกับแฟนหนุ่มขี่รถตามนายแจ็คคนร้าย พร้อมกับโทรแจ้งตำรวจอยู่ตลอด และน้องผู้ชายที่อยู่เคอร์รี่ได้ขี่รถตามนายแจ็ค ตนจึงขับรถตาม ในตอนแรกตนเข้าใจว่าขโมยของ ไม่ได้คิดว่าทำร้ายคนมา กระทั่งน้องผู้ชายที่อยู่เคอร์รี่ได้ถีบรถของนายแจ๊คล้มลง และพี่น้อยจึงวิ่งเข้าไปพยายามจะเอาเหล็กตี พลางบอกให้คนแถวนั้นล็อกประตู ส่วนตนตั้งใจจะเข้าไปหา และจะกันนายแจ็ค เพราะเห็นว่ามีมีด เกรงจะทำร้ายคนอื่น
พี่น้อยจึงบอกกับตนว่า "อย่าเช้าไปแลกกับมัน อย่าเข้าใกล้มัน หาอะไรยาว ๆ ตีดีกว่า" แล้วพี่น้อยก็เดินหยิบพลั่วจากร้านวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในระแวกนั้นมาให้ ทำให้นายแจ็คไม่มีทางหนี ก่อนจะวิ่งไปล็อกคอนางสาวอรวรรณ สาวทอมเหยื่อคนสุดท้าย และทำท่าจะเชือดคอ แต่นางสาวอรวรรณมีสติ พยายามเอามือบังไว้และต่อสู้จนหลุดออกมาได้ หลังจากนั้นทุกคนก็ต้อนให้นายแจ็คไปทางหอนาฬิกา และขอความช่วยเหลือจากกู้ภัย กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุ
ทั้งนี้ ตนยอมรับว่า รู้สึกหวั่นใจเกรงว่าตัวเองจะพลาด แล้งถูกแทงเหมือนกัน เพราะนายแจ็คเดินตาขวาง และพยายามจะเข้ามาทำร้ายตนตลอด ซึ่งตนก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะรู้สึกหวั่นเช่นกัน หลังจากที่มีหลายคน โพสต์ชื่นชมตนในฐานะพลเมืองดี ตนก็รู้สึกดีกับคำชื่นชม และรู้สึกสบายใจแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน นอกจากนี้ตนมองว่ากฎหมายยังอ่อนอยู่ เพราะติดคุกไปก็ออกมาก่อเหตุอีก คล้ายกับกรณีของสมคิดที่ติด ฆาตกรต่อเนื่องติดคุกไม่ถึง 10 ปีก็ออกมาก่อเหตุซ้ำ
นายชยพล วาทบัณฑิตกุล อายุ 22 ปี พนักงานเคอร์รี่พลเมืองดี เปิดเผยว่า ช่วงเกิดเหตุตนกำลังส่งของอยู่ซอยเชิดสมบัติ ใกล้กับโรงแรมการิน และเห็นพี่น้องผู้ชายที่ใส่เสื้อสีเขียวขับรถไล่ตามนายแจ็คพร้อมกับตะโกนว่า "ฆาตรกร ๆ มันฆ่ามาหลายคนแล้ว" ตนเลยขับรถตามทั้งที่รถไม่มีเบรกหลัง ตนขี่รถจักรยานยนต์ประกบนายแจ็ค จนมาถึงบริเวณร้านพีเอโมบาย ร้านโทรศัพท์ ตอนแรกตนตั้งใจจะถีบท้ายรถ แต่เกรงว่าถ้าถีบท้ายรถของนายแจ็คจะเหมือนการล้มตัดหน้ารถของตน แล้วตนจะล้มไปด้วย
จากนั้นตนได้ขี่รถเข้าไปใกล้ พอเห็นมีดตนจึงตัดสินใจดันตัวรถจักรยานยนต์ของนายแจ็คทันที ทำให้รถของนายแจ็คเซไปทางเสาไฟฟ้าจนรถล้ม ส่วนตนได้ขับรถเลยไปต่อ ขณะนั้นนายแจ็คได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ เพราะถูกพี่น้อย ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีเขียววิ่งไล่ตี ส่วนหนุ่มแกร็บก็มาช่วย ตนจึงวิ่งตามมาดู นายแจ็คทำท่าจะวิ่งตามตนมาด้วยความโกรธ และหวังจะทำร้ายร่างกายตน ตนจึงพยายามวิ่งหนีไปอีกทาง ก่อนจะช่วยกันต้อนไปทางหอนาฬิกา เพราะน่าจะมีรถตำรวจอยู่เยอะ อีกสักพักเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามา โดยตนใช้เวลาขับรถตามประมาณ 10 นาที
โดยนายแจ็คมีท่าทางกระตือรือร้น แรงค่อนข้างเยอะ เพราะขณะที่ตนถีบรถ นายแจ็คไม่ล้มลงไปด้วยซ้ำ แค่เซลงไปก้นติดพื้นถนน และยังกระโดดข้ามรถจักรยานยนต์พีซีเอกซ์อีก นอกจากนี้ จากตรวจที่โรงพยาบาลก็ไม่พบสารเสพติด ส่วนหนึ่งจึงเชื่อว่าอาจจะมีเล่นของบ้าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้ได้รับโทษประหารชีวิตเช่นกัน
โดยหนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บคือ น.ส.ปิยวรรณ อายุ 20 ปี ซึ่งถูกแทงเข้าที่ไหล่ซ้าย ด้านหน้ามัสยิด ถนนศรีชมชื่น ขณะนี้ยังมีอาการซึมอย่างเห็นได้ชัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. เวลาประมาณ 13.00 น. ตนกำลังจะไปรับเพื่อนที่ บขส.เก่า ซึ่งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้า ระหว่างนั้นตนจอดติดไฟอยู่ นายแจ็คก่อเหตุแทงคนเจ็บ 2 คนแรกแล้ว คือน้องอุ๋มอิ๋ม กับน้องโดนัท แต่ตอนนั้นตนยังไม่รู้ว่าเป็นการแทง ตนจึงขับรถเลี้ยวไปทางซ้าย นายแจ็คขี่รถจักรยานยนต์มาด้านหลังโดยที่ตนไม่รู้ตัว แล้วขี่ประกับข้างซ้าย ก่อนจะเอามีดแทงเข้าที่ไหล่ซ้ายของตน และขี่รถหลบหนีออกไปทันที
ขณะนั้น ตนรู้สึกตัวสั่น และรู้สึกกลัวมาก ทำอะไรไม่ถูก แต่พอรู้ว่าคนร้ายถูกจับแล้ว ตนก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น และสภาพจิตใจในตอนนี้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แผลที่ถูกแทงไม่ลึกมากเย็บ 2 เข็ม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนมองว่า นายแจ็คทำเกินไป และอยากจะให้ประหารชีวิตเช่นกัน
สำหรับพลเมืองดี ผู้เห็นเหตุการณ์ และครอบครัวของผู้เสียชีวิตให้ความเห็นตรงกันว่า ผู้ก่อเหตุควรได้รับโทษสูงสุดคือการประหารชีวิต
Advertisement