เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 64 เวลาประมาณ 10.30 น. ได้รับแจ้งว่ามีพระธรรมกร เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ภูหินกอง อยู่บนภูเขาซ้ายมือทางไปบ้านนาแค ในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู เสียชีวิตโดยได้ใช้มีดตัดคอตัวเองจนเสียชีวิตเพื่อถวายให้พระพุทธเจ้า บริเวณจุดที่ฆ่าตัวตายมีรูปปั้นคล้ายกับพระอินทร์ไม่มีศีรษะ และมือทั้ง 2 ข้างได้ถือศีรษะคล้ายกับโดนตัดไว้ในมือนั้น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- หมอปลาอ้วกพุ่งเจอกระดูกพระตัดหัว ลั่นตายโหงไม่บรรลุธรรม ชูมืออาสาทุบทิ้ง
- ศิษย์ธรรมกรโชว์รูปเมฆบนฟ้า โวตัดหัวเสร็จเรือสวรรค์มารับ - คนเซ็งลัทธิอาการหนัก
- มีอึ้ง! ป้ายสำนักพระตัดหัวทำคล้าย "กิโยตีน" เผยก่อนตายยังบิณฑบาตโปรดสัตว์
- บุกสำนักพระตัดหัว อึ้ง "ธรรมกร" ชอบตัดหัวไก่อ้างสัตว์นิพพาน - ซุกกิโยตีนใต้ผ้าขาว
- เปิดคลิปลับศิษย์ "ธรรมกร" ขวางนำศพหัวชันสูตร รอทหารทุบเทวดาถวายหัว
ล่าสุด วันที่ 20 เม.ย. 64 เมื่อเวลา 12.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองหนองบัวลำภู ได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ห่างจากสำนักสงฆ์ภูหินกอง 50 กิโลเมตร ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งตำรวจสืบทราบว่าที่สำนักสงฆ์ดังกล่าว เป็นที่ซุกซ่อนและเก็บอุปกรณ์ประกอบทำเครื่องกิโยตีนที่หายไป อาทิ เหล็ก และไม้
หลังจากเข้าทำการตรวจสอบ จึงได้ทำการสอบปากคำพระรูปหนึ่งในวัด ทราบว่าเป็นพระที่เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ภูหินกองในวันเกิดเหตุ เป็นพระที่ลาสิขาให้พระธรรมกร จากนั้นได้ทำการเก็บเครื่องกิโยตีนล้างทำความสะอาดคราบเลือดอุปกรณ์ เช่น เหล็ก ไม้ ยกขึ้นรถกระบะนำมาเก็บไว้ที่สำนักสงฆ์ของตัวเองเพื่อจะใช้ประโยชน์อื่น ๆ เจ้าหน้าที่จึงได้สอบปากคำแล้วทำการขออายัดไม้และเหล็กไปทำการตรวจสอบทันที
จากนั้นที่ สภ.เมืองหนองบัวลำภู มีหลักบานบรรทุกอยู่ท้ายกระบะสีดำของตำรวจชุดสืบสวน มีเหล็กหนา 2 มม. และหนา 5 ซม. กว้าง 10 ซม. ยาว 6 เมตร จำนวน 4 เส้น, ไม้หน้าสาม เป็นไม้แปรรูป ยาว 4เ มตร จำนวน 40 ท่อน, ไม้หน้าสาม ขนาด 1 เมตร จำนวนอีก 40 ท่อน สังเกตว่าไม้และเหล็กมีลักษณะถูกเจาะเป็นรูปน็อต สำหรับยึดติดกัน รวมประมาณ 55-60 รู เป็นน็อตขนาดเบอร์ 8
จากการสำรวจวัดใน จ.อุดรธานี ที่พบชิ้นส่วนประกอบเครื่องกิโยตีน โรงรถใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์และไม้สำหรับต่อเติมและก่อสร้างก่อนหน้านี้ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาเคลื่อนย้ายและอายัดไม้เหล็กออกไป ถูกนำมาซุกซ่อนและวางเอาไว้ภายในโรงรถ ห่างกันประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นพื้นที่เขตป่า ค่อนข้างลับตา
ด้านพระในสำนักสงฆ์ ที่ลาสิขาให้พระธรรมกร เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเดินทางไปที่สำนักสงฆ์ภูหินกอง เพื่อจะไปร่วมงานบุญ และจะร่วมฉันเช้าตามที่ญาติโยมได้นิมนต์เอาไว้ ออกเดินทางจากสำนักสงฆ์ในจังหวัดอุดรธานีเมื่อเวลา 05.00 น. ไปถึงที่สำนักสงฆ์ภูหินกองเวลา 06.00 น. เศษ
เมื่อไปถึงพบว่าเหล่าลูกศิษย์และแม่ชีอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ บริเวณดังกล่าวได้มีการตั้งโลงศพเอาไว้ จากนั้นได้เห็นกองเลือดอยู่บนพื้น เหล่าลูกศิษย์และแม่ชีช่วยกันล้างทำความสะอาด พร้อมทั้งมีการเก็บอุปกรณ์คล้ายสิ่งก่อสร้างจำพวกไม้เหล็ก ตนเองก็ไม่ได้มีการประกอบพิธี เพราะพระธรรมกรได้มีการสั่งเสียและฝากลูกศิษย์เอาไว้ว่า "ไม่ต้องมีการบังสกุล ไม่ต้องมีการสวดอภิธรรม ไม่ต้องมีการทำบุญใด ๆ ให้ทำพิธีแบบเรียบง่ายและเผาร่างในวันนั้น" ตนเองก็อยู่ร่วมพิธีพร้อมกับพระรูปอื่นอีกกว่า 10 รูป โดยได้มีการเคลื่อนย้ายร่างไปประกอบพิธีเผาที่ด้านล่างแบบเรียบง่าย จากนั้นก็ได้มีการใช้หินทำเป็นรูปเจดีย์ทับกระดูกและขี้เถ่าเอาไว้ แล้วตนเองก็เดินทางกลับทันที
หลังจากที่เดินทางกลับมาแล้ว วันรุ่งขึ้นเหล่าลูกศิษย์และแม่ชี ก็ได้ยกเหล็กและไม้ที่ใช้ประกอบทำเครื่องกิโยตีน เอามาถวายที่สำนักสงฆ์ของตนเอง อ้างว่าพระธรรมกรได้มีการสั่งเสียเอาไว้ว่า "ให้นำไม้และเหล็กที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ไปถวายให้กับวัดสำนักสงฆ์ในจังหวัดอุดรธานี เพื่อใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างหรือสาธารณะประโยชน์อื่น" ตนเองก็นำไปเก็บเอาไว้ที่โรงรถนอกพื้นที่สำนักสงฆ์ เพื่อเตรียมที่จะนำมาบูรณะหรือสร้างเป็นกุฎิสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้มีเจตนาที่จะนำไปซุกซ่อน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการขอนำไปตรวจสอบ ตนเองก็ไม่ขัดขวาง
ย้อนกลับไปในวันที่ 14 เม.ย. 64 ช่วงประมาณตอนเที่ยง พระธรรมกรได้โทรศัพท์มานิมนต์ให้ตนเองไปที่สำนักสงฆ์ภูหินกอง โดยตอนนั้นยังไม่ได้บอกเหตุผลว่านิมนต์ไปเรื่องอะไร ช่วงเย็นวันนั้นก็ได้เดินทางไปโดยทันที เมื่อไปถึงช่วงค่ำ ก็ได้มีการสนทนาธรรมและพูดคุยกันอยู่ภายในศาลา พระธรรมกรก็ได้บอกกับตนเองว่า "ให้ทำการลาสิขาให้หน่อย เพราะไม่สามารถรับสินค้ากับต้นไม้ หิน พระพุทธรูป หรือลาสิขาเองได้ อยากจะให้มีพระเป็นผู้ทำพิธีให้" ซึ่งพระธรรมกรบอกว่า "ได้ตั้งมั่นเตรียมที่จะจบชีวิต และลาโลก แต่ไม่ต้องการจบชีวิตในสมณะความเป็นพระ อยากจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือฆราวาส เพราะจะได้ไม่ผิดพระวินัยและเปื้อนพระพุทธศาสนา" หลังจากที่ตนเองทราบเหตุ ก็ได้มีการพูดคุยและเตือนสติ แต่ก็ไม่สามารถห้ามรได้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ อีกครั้งตนเองไม่รู้ว่าวิธีการที่พระธรรมกรใช้จะด้วยวิธีใด เนื่องจากเจ้าตัวไม่ได้บอก แต่ก่อนหน้านี้ยอมรับว่าก็มีกลุ่มลูกศิษย์พูดกันหนาหูทำนองว่า "พระธรรมกรจะลาโลก ถวายหัวให้พุทธศาสนา"
ทั้งนี้ เรื่องการทำเครื่องกิโยตีน เชื่อว่าพระธรรมกรมีการคิดวางแผนและศึกษาจากแนวความเชื่อมาบ้างแล้ว ตนเองขอไม่วิจารณ์เพราะเป็นการกระทำส่วนบุคคล แต่อย่าลืมว่าการก่อเหตุครั้งนี้ไม่ใช่ผู้ที่บวชเป็นพระ เพราะเขาได้ลาสิขาเป็นฆารวาสแล้ว ถ้ามองในตามทางโลก การตัดสินใจคิดสั้นฆ่าตัวตายก็เป็นเรื่องของการตายของมนุษย์ ที่ไม่ว่าจะตายด้วยโรคประจำตัว อุบัติเหตุ หรือคิดสั้นฆ่าตัวตาย ดังนั้นจึงไม่อยากให้นำไปโยงกับพระพุทธศาสนา อีกทั้งการปั้นรูปเทพกุดหัวถือว่าเป็นความคิดและจินตนาการส่วนบุคคลที่ไม่มีตำราใดบัญญัติเอาไว้
Advertisement