เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 65 เวลา 16.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกษไชโย จ.อ่างทอง ได้รับแจ้งเหตุมีเด็กจมหายไปในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าวัดไชโย หมู่ 2 ต.ไชโย อ.ไชโย จ.อ่างทอง จึงประสานเจ้าหน้าที่ประดาน้ำสมาคมกู้ภัยจังหวัดอ่างทอง และเจ้าหน้าที่ประดาน้ำมูลนิธิร่วมกตัญญู รีบรุดไปตรวจสอบและค้นหา
โดยในที่เกิดเหตุพบเด็กชายทั้งหมด 5 คน อายุประมาณ 13-15 ปี ทราบชื่อ น้องเหวิน, น้อมมอส, น้องบอส, น้องอาร์ม และน้องนาย ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนในพื้นที่เกิดเหตุ และเป็นกลุ่มเพื่อนของเด็กชายวัย 13 ปีที่จมน้ำหายไป ทราบชื่อน้องบิ๊ก ด.ช.ชัยวัฒน์ เขียวสีงาม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการค้นหาจนถึงเที่ยงคืนกว่าก็ต้องยุติไป เนื่องจากกระแสน้ำที่แรงและลึกมาก ทำให้ทีมค้นหาได้อย่างอยากลำบาก
ล่าสุดวันที่ 15 ก.ย. 65 เริ่มมีการค้นหากันตั้งแต่ 06.00 น. จนถึงเวลา 11.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นบันใดริมตลิ่งที่สร้างด้วยปูน ติดกับกำแพงวัดไชโย มีปริมาณน้ำช่วง 1-2 วันนี้ลึกประมาณ 4 เมตร เนื่องจากฝนตกต่อเนื่องหลายวัน จากปกติจะลึกประมาณ 2 เมตร
ซึ่งทราบว่าทางเจ้าหน้าที่ประมาณ 30 นาย ยังคงอยู่ระหว่างการค้นหา เนื่องจากยังไม่พบน้องบิ๊ก มีเพียงแค่เบาะแสจากชาวบ้านที่ส่งเข้ามาเรื่อย ๆ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ล่องเรือไปดูตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่เจอ
นายวีระ ศรีทับทิม อายุ 59 ปี ปู่ของน้องบิ๊ก เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตนและภรรยาเลี้ยงดูหลานคนนี้มาตั้งแต่อายุ 2 เดือน เนื่องจากพ่อกับแม่เขาเลิกราและแยกทางกันไป ปกติแล้วตอนที่น้องบิ๊กอยู่ชั้นประถมศึกษาจะเป็นเด็กน่ารัก พูดจาง่าย ไม่ดื้อไม่ซน แต่พอขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก็จะเริ่มติดเพื่อน
แล้วด้วยความที่แถวบ้านตนก็อยู่ติดแม่น้ำ เช่นเดียวกับแถวโรงเรียนมัธยมที่มีแม่น้ำเหมือนกัน ตนจึงเตือนหลานประจำว่าอย่าแอบลงไปเล่นน้ำ เพราะหลานว่ายน้ำไม่เป็น จะทรงตัวได้แค่น้ำตื้น ๆ ขนาดเมื่อวานนี้ตอนเช้าก่อนหลานออกจากบ้านไปโรงเรียน ตนก็เตือนแล้วว่า "อย่าหนีไปเล่นน้ำนะ" หลานก็รับปาก
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีบางวันที่หลานกลับบ้านไปแบบตัวเปียก ตนก็ถามว่าไปเล่นน้ำมาหรือเปล่า หลานก็บอกว่าไม่ได้เล่น ด้วยความมองว่าหลานโตแล้ว จึงไม่เซ้าซี้ และไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นด้วย จนกระทั่งเมื่อวานนี้เวลาประมาณ 16.00 น. กว่า ๆ ตนก็เอะใจแล้วว่าทำไมหลานยังไม่กลับบ้าน แต่ไม่นานก็มีชาวบ้านมาบอกว่าหลานจมน้ำหายไป ตนก็เลยรีบเดินทางมาที่จุดเกิดเหตุ ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ช่วยกันตามหาหลานเต็มไปหมด ยอมรับว่าเครียดมาก กินไม่ได้นอนไม่หลับตั้งแต่รู้เรื่องจนถึงปัจจุบัน และด้วยระยะเวลาก็ทำให้ตนเริ่มหมดหวังที่จะเจอหลานแบบมีชีวิต สิ่งเดียวที่รอตอนนี้คือรอพบหลานในสภาพเป็นศพ อย่างน้อยก็จะได้นำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนา
กล้องวงจรปิดภายในวัด พบว่าเมื่อวานนี้ เวลา 15.12 น. หลังจากโรงเรียนเลิก จะเห็นว่า น้องเหวิน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระครูวิบูลย์สังฆกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชโย ขับจักรยานของน้องบิ๊กเข้ามาที่กุฏิ แล้วเข้าไปขออนุญาตพระครู บอกว่าจะออกไปนั่งเล่นกับกลุ่มเพื่อนที่ศาลาริมน้ำ จากนั้นหลังพระครูอนุญาตก็ขับจักรยานกลับไปทางโรงเรียนในเวลา 15.16 น.
ต่อมาเวลา 15.20 น. น้องมอส และน้องบิ๊ก ได้เดินมายังบริเวณหน้ากุฏิ โดยมีน้องเหวินขับจักรยานตามมาติด ๆ ก่อนที่จะมีการสลับตำแหน่งกัน ให้น้องบิ๊กไปขับจักรยาน แล้วน้องมอสนั่งซ้อนท้าย และขับมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนน้องเหวินก็เดินเข้าไปบอกพระครูอีกรอบ ขณะเดียวกันน้องบอสก็ขับจักรยานอีกคันมาจากโรงเรียนและมุ่งหน้าตามน้องเหวิน ไปที่หน้ากุฏิเพื่อรอไปพร้อมกัน และในเวลา 15.21 น. จะเห็นว่าน้องอาร์มขับจักรยานอีกคันตามมาและมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำทันที
เวลา 15.22 น. น้องบิ๊ก กับน้องมอส และน้องอาร์ม ปั่นจักรยานกลับมาบริเวณหน้ากุฏิอีกครั้ง เพื่อดูว่าน้องเหวินกับน้องบอสตามไปหรือยัง โดยขับวนอยู่ที่ลานด้านหน้าหน้าประมาณ 1 รอบ ก่อนที่ทั้งหมดจะพากันไปยังแม่น้ำที่เกิดเหตุ ด้วยการปั่นจักรยาน ยกเว้น น้องเหวินที่เดินไป เนื่องจากไม่มีจักรยาน ส่วนน้องนายซึ่งไม่ปรากฎในวงจรปิด เนื่องจากมีบ้านอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงกลับบ้านก่อนและไปเจอทั้ง 5 คนที่จุดเกิดเหตุเลย
นางอัมพวัน ศรีทับทิม อายุ 57 ปี ย่าน้องบิ๊ก บอกว่า เมื่อคืนนี้หลังทราบข่าวว่าน้องบิ๊กจมน้ำหายไป ก็เห็นว่าเดินทางมาที่เกิดเหตุ ตนได้มีโอกาสคุยนิดหน่อย เขาบอกว่าที่ผ่านมาอยากจะกลับมาหาลูก แต่ไม่กล้า กลัวญาติฝั่งนี้จะว่า ซึ่งตนก็บอกไปแล้วว่าไม่มีใครว่าหรอก ถ้าอยากจะมาก็มาได้ ไม่เคยคิดห้าม เพราะเมื่อปลายปี 2564 น้องบิ๊กเอ่ยปากถามกับตนบ่อยว่า "แม่ผมหน้าตาเป็นยังไง ผมอยากเจอแม่" ตนก็ได้แต่บอกไปว่า "แม่มีหน้าที่ต้องทำ" ส่วนพ่อของหลานก็ออกไปทำงานที่อื่น นาน ๆ ทีจะกลับมาบ้าน แล้วมาติดคุกคดียาเสพติดอีกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตอนนี้ยังอยู่ในเรือนจำ
วันนี้ตนก็ได้ออกตามหาหลานพร้อมเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้า แต่ก็ยังไร้วี่แววจะพบเจอหลาน ตัวเองได้เตรียมเสื้อบอลสีดำ 2 ตัวและกางเกงวอร์มขายาวสีดำมาเตรียมให้หลานใส่แล้ว ไม่ว่าจะเจอในสภาพมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม
ช่วง 2-3 ที่ผ่านมา หลานมีพฤติกรรมแปลกติดต่อกัน คือขอเข้ามากอดตน บอกว่า "ขอกอดหน่อย ขอกอดแน่น ๆ" ทั้งก่อนนอนและก่อนออกไปโรงเรียน อย่างเมื่อวานนี้ตอนเช้าก็ขอกอด ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยทำเลย ซึ่งตนก็เอะใจเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องร้าย แล้วยิ่งคืนวันที่ 13 ก.ย. 65 ขณะที่ตนนอนหลับ ก็ฝันว่ากำลังกินอะไรสักอย่าง แล้วฟันกรามซี่เล็กก็หักครึ่งซี่ แต่จำไม่ได้ว่าบนหรือล่าง ซ้ายหรือขวา และไม่มีเลือด พอคายออกมาใส่มือก็ตกใจตื่น แล้วก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังด้วย ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรไม่ดีกับคนในบ้าน แล้วสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจนได้
นางสาวนิสาชล จันทร์นิล อายุ 28 ปี แม่ของน้องบิ๊ก ที่เดินทางมายังจุดเกิดเหตุเมื่อคืนหลังทราบข่าวว่าลูกชายจมน้ำหายไป ยอมรับกับอมรินทร์ทีวีทั้งน้ำตาว่าตลอด 13 ปีที่ผ่านมา หลังจากยกลูกให้ญาติฝั่งอดีตสามีดูแล ตั้งแต่ 2 เดือน และกลับมาดูลูกครั้งสุดท้ายคือตอนเขา 3 เดือน จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้กลับมาเจอลูกอีกเลย ทำได้แค่ติดตามการเติบโตของลูกผ่านเฟซบุ๊กของอดีตสามี แต่ก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยมาก เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่กับลูก
ที่ผ่านมาหัวใจของตนอยากจะมาหาลูก อยากเจอลูกมาก ๆ แต่ไม่กล้ามา เพราะกลัวว่าจะถูกญาติฝั่งอดีตสามีตำหนิว่าทิ้งลูกไปนานและไม่เคยส่งเสียเลี้ยงดู จนกระทั่งเมื่อคืนน้องของอดีตสามีโทรไปบอกว่าลูกจมน้ำ ตนก็ช็อกและตกใจมาก จึงรีบเดินทางมาทันที แล้วยิ่งมาทราบเมื่อคืนว่าที่ผ่านมาลูกบ่นอยากเจอหน้าตน ถามถึงตนบ่อยมาก ก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจว่าทำไมถึงได้มารู้ตอนสายไป มารู้ในวันที่ลูกไม่มีโอกาสได้เจอหน้าตนเลย และตนก็ไม่มีโอกาสได้เจอลูกยามมีชีวิต ไม่มีโอกาสแม้ที่จะได้ทำหน้าที่แม้สักครั้งในชีวิต
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ตนจะก้าวข้ามความกลัว แล้วมาหาลูกให้ได้ก่อนสายเกินไปแบบนี้ แต่วันนี้มันย้อนกลับไปไม่ได้ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เจอร่างของลูก ทำได้แค่อยากบอกกับลูกว่า "น้องบิ๊ก แม่ขอโทษ ขอโทษจากใจจริง ๆ แม่ไม่ได้เสแสร้ง แม่ขอโทษที่ไม่เคยได้ทำหน้าที่แม่กับหนูเลย ไม่เคยเป็นแม่ที่ดีให้หนูเลย ไม่เคยมากอด ไม่เคยมาทำอะไรเพื่อหนูเลย แม่ขอโทษ" และภาวนาขอให้ร่างของลูกขึ้นมาไว ๆ ตนจะรออยู่ตรงนี้จนวินาทีสุดท้าย เพราะถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอลูก
หากตนได้เจอลูก แม้ว่าจะไม่มีชีวิตแล้วก็ตาม ก็อยากจะเข้าไปกอดและบอกกับลูกว่า "น้องบิ๊กแม่มาหาลูกแล้วนะ แม่ขอโทษจริง ๆ ที่ไม่เคยมาหามาเจอหนูเลยสักครั้งเดียว หากชาติหน้าที่จริง ก็ขอให้เกิดมาเป็นลูกแม่อีก แม่จะทำหน้าที่แม่ทดแทนที่ชาตินี้ไม่มีโอกาสได้ทำ" ส่วนเรื่องสาเหตุการเสียชีวิต ตนก็ไม่ได้ติดใจ มองว่าเป็นอุบัติเหตุ และเชื่อว่าเพื่อนเขาคงช่วยกันจนหมดแรงแล้ว
Advertisement