จากกรณีเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 64 เวลา 18.20 น. กู้ภัยหน่วยบรรเทาสาธารณะภัยช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุมีคนพบศพที่บ้านพักไม่มีเลขที่ ข้างรีสอร์ตแห่งหนึ่ง พื้นที่หมู่ 1 ต.ช้างกลาง อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช จึงลงพื้นที่ตรวจสอบพร้อมตำรวจ สภ.ช้างกลาง
พบศพหญิงอายุประมาณ 40 ปี นอนเสียชีวิตที่ชั้น 2 ตรงกับทางลงบันได สภาพศพเริ่มเน่าเหม็น คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4 วัน บริเวณศีรษะถูกตีด้วยของแข็ง ข้างกันเจอค้อนตอกตะปูที่ด้ามหัก 2 ท่อน และขันอะลูมิเนียมที่มีรอยบุบ คาดว่าเป็นอาวุธที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งทราบชื่อผู้เสียชีวิตภายหลังคือ น.ส.พัชราพร สุวรรณกาศ หรือ พัชร อายุ 40 ปี ชาวจังหวัดนนทบุรี
จากการสอบสวนทราบว่าผู้เสียชีวิตน่าจะตั้งท้องอยู่ประมาณ 4 เดือน ส่วนผู้ก่อเหตุคาดว่าเป็นสามีของผู้เสียชีวิต เป็นเจ้าของบ้าน คือ นายตะวัน รักษาวงศ์ หรือ แบต อายุ 31 ปี ซึ่งหลบหนีไปหลังเกิดเหตุ
ญาติของผู้ก่อเหตุ ได้ส่งคลิปในขณะเข้าไปพบศพเพื่อชี้แจงสังคม เพราะกลัวว่าจะถูกสังคมและครอบครัวผู้เสียชีวิตมองว่ามีส่วนรู้เห็นกับการตายของ น.ส.พัชราพร โดยเป็นคลิปความยาว 51 วินาที ถ่ายไว้ช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ช่วงที่เข้าไปพบศพ
วันที่ 17 ส.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีลงพื้นที่ สภ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช โดย พ.ต.ท.ศุภชัย งามปลอด สว.(สอบสวน) สภ.ช้างกลาง ให้ข้อมูลว่า ได้ออกหมายจับนายตะวัน รักษาวงษ์ ในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุถึงแก่ความตาย ส่วนศพของน.ส.พัชราพร สุวรรณกาศ ยังถูกเก็บไว้ที่โรงพยาบาลช้างกลาง เนื่องจากไม่สามารถติดต่อญาติได้ เพราะเดิมทีผู้เสียชีวิตเป็นชาวกรุงเทพฯ แต่ย้ายภูมิลำเนามาอยู่กับสามีใน จ.นครศรีธรรมราช
ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ บ้านพักตากอากาศ ไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ริมธารกลางป่า ห่างจากบ้านคนและห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 3 กิโลเมตร ในพื้นที่บ้านนา หมู่ 1 ต.ช้างกลาง อ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้าน 2 ชั้น บริเวณบันไดชั้น 2 พบกองเลือดและน้ำเหลืองแห้งกรัง มีแมลงวันตอมและส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
บนชั้นวางของใกล้จุดเกิดเหตุพบขันน้ำอะลูมิเนียมท้ายบุบ ซึ่งคาด ว่าเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุทุบศีรษะผู้เสียชีวิต ภายในห้องพักพบยาแก้วินเวียนศีรษะ ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ยาบำรุงเลือดบำรุงกระดูกรักษาโรคไต ยาลดบวมของผู้ตาย
นายอวกาศ ศรีธรรมราช กู้ภัยบรรเทาสาธารณภัยช้างกลาง เข้ามาในที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ เวลา 18.20 น. ได้รับแจ้งเหตุผู้เสียชีวิต จึงเข้ามาตรวจสอบก็พบศพของ น.ส.พัชราพร นอนหงายเสียชีวิตอยู่บริเวณชั้น 2 ของบ้าน สภาพเริ่มเน่า มีน้ำเหลืองไหลและมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งทั่วบริเวณ ร่างถูกตีด้วยของแข็งที่ศีรษะ ใกล้กันพบค้อน ตอกตะปูหักสองท่อน และขันอะลูมิเนียมสภาพบุบเสียหาย คาดว่าเป็นอาวุธที่นายตะวันใช้ก่อเหตุ
โดยคาดว่า น.ส.พัชราพร น่าจะเสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. 64 เนื่องจากในวันดังกล่าว เวลาประมาณ 19.40 น. กู้ภัยหน่วยบรรเทาสาธารณะภัยช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากชายคนหนึ่งว่ามีคนเป็นลมหมดสติ อยู่ที่บ้านพักข้างรีสอร์ตแ เมื่อไปถึงในละแวกใกล้เคียง กลับไม่มีใครออกมาแสดงตัวว่าเป็นคนแจ้ง และเมื่อโทรกลับไปก็พบว่าผู้แจ้งปิดเครื่องโทรศัพท์ ทางกู้ภัยรออยู่ประมาณ 30 นาที ก็ไม่มีใครมาแสดงตัวว่าเป็นคนแจ้งเหตุ ตามหาแต่ก็ไม่พบใคร จึงเข้าใจว่าเป็นการโทรแจ้งเหตุหลอก ตนได้เดินทางกลับ ตรวจสอบเบอร์ที่โทรแจ้งเหตุพบว่าเป็นเบอร์ของนายตะวัน อย่างไรก็ตาม ศพของ น.ส.พัชราพรตั้งอยู่ที่วัดบ้านนา ต.ช้างกลาง รอญาติติดต่อญาติที่ต่างจังหวัดนำศพไปทำพิธี
นายยุทธนา ทิศสุราษฏร์ อายุ 45 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ้านนา ต.ช้างกลาง เปิดเผยว่า สำหรับนายตะวันนั้นไม่ใช่คนพื้นที่ เป็นคน อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช แต่ครอบครัวมาสร้างบ้านให้อยู่ เขากับภรรยาจึงย้ายเข้ามาอยู่บ้านได้ประมาณ 4-6 เดือน ซึ่งเขาก็ไม่ได้แจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าเข้าไปอยู่ในพื้นที่ และเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับใคร เนื่องจากเป็นคนที่ติดยาเสพติดอย่างหนัก ซึ่งทราบมาว่าเขามักจะมีปากเสียงกับภรรยาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อฤทธิ์ของยาเสพติดออก ก็จะลงมือทำร้ายภรรยา ซึ่งเพื่อนบ้านได้ยินเสียงเป็นประจำ
กระทั่งไม่มีกี่วันที่ผ่านมา ชาวบ้านเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่า และสังเกตเห็นไฟของบ้านเปิดอยู่ตลอดเวลา ชาวบ้านจึงไปบอกครอบครัวของนายตะวัน ญาติพี่น้องจึงเข้ามาตรวจสอบ ก็พบศพของ น.ส.พัชราพร อยู่บนบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เพราะนายตะวันฆ่าทั้งเมียและลูกที่อยู่ในท้อง
นายแมน (นามสมมติ) น้องชายของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า พี่ชายไปทำงานเกี่ยวกับอะไหล่รถอยู่ที่กรุงเทพฯ ประมาณ 10 ปี กระทั่งเมื่อ 6 เดือนก่อน พี่ชายประสบปัญหาเรื่องโควิดอย่างหนัก ทำให้ไม่มีงานและไม่มีเงิน จึงได้ชวนภรรยากลับมาอยู่ที่บ้าน เนื่องจากบ้านของตนเป็นครอบครัวใหญ่ มีเด็กและคนแก่เยอะ กลัวจะติดเชื้อโควิด จึงให้พี่ชายและภรรยาไปกักตัวอยู่ที่บ้านหลังเกิดเหตุ และเขาก็อยู่ที่บ้านหลังนั้นร่วมกับภรรยา ทำไร่ทำสวน ดูแลบ้าน ถ้าหิวก็จะมาหาข้าวที่บ้านใหญ่กิน
ช่วงแรกที่พี่ชายกลับมาอยู่บ้านนั้น เขาก็ปกติดีไม่มีปัญหา จนกระทั่งพี่ชายเริ่มกลับไปเสพยาเสพติดอีกครั้ง ทำให้ครอบครัวไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับเขา เพราะเวลายาเสพติดออกฤทธิ์ เขามักจะพูดจาไม่รู้เรื่องและสร้างแต่ปัญหา กระทั่งมีคนมาบอกว่าที่บ้านที่เกิดเหตุเปิดไฟอยู่ตลอด และครอบครัวก็รู้สึกสงสัยว่าเหตุใดพี่ชายจึงไม่ออกมาซื้อกับข้าวที่นอกบ้าน จึงตัดสินใจรวมตัวกันและเข้าไปดูที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ สุดท้ายก็พบร่างของพี่สะใภ้นอนเสียชีวิตบนชั้น 2 ของบ้าน ส่วนครอบครัวก็ไม่ได้รับการติดต่อจากพี่ชายเลย
จากการสอบถามเพื่อนบ้านทราบว่าพี่ชายมักจะทะเลาะกับภรรยาบ่อยครั้ง เนื่องจากพี่ชายติดยาเสพติด หลังเกิดเหตุทางครอบครัวก็ไม่สบายใจ เพราะครอบครัวก็รักพี่สะใภ้เหมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง ไม่คิดว่าเจ้าตัวต้องมาเจอเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ พี่ชายตนได้ฆ่าไปถึง 2 ชีวิต ทั้งเมียและลูกในท้อง อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดว่าพี่ชายมามอบตัวหรือถ้าตำรวจจับพี่ชายได้ ก็จะไม่ช่วยแล้ว ปล่อยไปตามกระบวนการให้ถึงที่สุด สุดท้าย ตนก็อยากฝากไปบอกญาติของฝ่ายหญิงว่าทางครอบครัวนั้นไม่ยินยอมหรือยินดีกับการกระทำของพี่ชาย และไม่คิดว่าพี่ชายของต้นจะกล้าลงมือทำกับภรรยาของตัวเองถึงขนาดนี้
นางสาวเมย์ (นามสมมติ) น้าของคนตาย เปิดเผยว่า ทางครอบครัวเพิ่งจะทราบข่าวการเสียชีวิตของนางสาวพัชราพร ตอนที่ทีมข่าวอมรินทร์มา เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการติดต่อกันพักหนึ่งแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เจอกับผู้ตายเดือนเมษายน นางสาวพัชราพร เดินทางมาพร้อมกับนายตะวัน แฟนหนุ่ม พากันมาเยี่ยมยายวัย 90 ปี จากนั้นก็มีการเก็บข้าวของออกจากบ้านเพื่อย้ายไปอยู่ที่อื่น เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ทราบข้อมูลจากเฟซบุ๊กส่วนตัวของนางสาวพัชราพร มีการโพสต์ว่า "เพราะคำว่าเครียดคำเดียวเลยต้องแอดมิดนอนอีกรอบ เตียงเดิม ห้องเดิม สบายมั้ยละ" ซึ่งหลังจากมีการโพสต์ภาพ ทางบ้านจึงรู้ว่าเป็นการตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน จากนั้นเจ้าตัวก็เงียบหายขาดการติดต่อ ไม่มีการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตอีกเลย
ย้อนกลับไปช่วงที่ครอบครัวทราบว่านางสาวพัชราพร คบหากับนายตะวัน แฟนหนุ่ม ทราบครั้งแรกตอนที่พากันเดินทางมาที่บ้าน ครอบครัวพอจะทราบว่าตัวของนายตะวันเป็นคนภาคใต้ หลังจากนั้นก็มีการชักชวนให้หลานสาวไปอยู่ด้วยที่ภาคใต้ คิดว่าจะไปช่วยกันทำมาหากิน แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับตัวของหลานสาว ยอมรับว่าครอบครัวพยายามกีดกัน และไม่อยากให้นางสาวพัชราพรคคบหากับนายตะวัน เพราะนายตะวันมีพฤติกรรมหลอกให้หลานสาวกู้ยืมเงิน หรือหาเงินไปให้นายตะวันใช้ และที่สำคัญนายตะวันก็เป็นคนชอบแอบอ้างว่ามีการเป็นหุ้นส่วน หรือประกอบธุรกิจอะไหล่รถมือ 2 ย่านบางนา บางครั้งก็บอกกับคนในครอบครัวว่า เป็นตำรวจชุดสืบสวนพื้นที่ภาคใต้ หรือบางครั้งก็บอกว่าเป็นสายสืบ พฤติกรรมไม่น่าไว้ใจ ประกอบกับหน้าที่การงานที่ไม่ชัดเจน
จนถึงทุกวันนี้ ยังมีบริษัทไฟแนนซ์ บริษัททวงหนี้ พยายามเข้ามาทวงเงินจากที่บ้าน เพราะนางสาวพัชราพรได้มีการใช้ที่อยู่และบัตรประชาชนของแม่ไปทำการค้ำประกัน และกู้ยืมเงิน ทั้งในระบบและนอกระบบ นำเงินไปให้นายตะวันใช้จ่าย ฉะนั้นจึงมีทั้งใบแจ้งหนี้ กลุ่มคนทวงหนี้คอยเข้ามาติดตามที่บ้านตลอด บางครั้งก็มีการโทรมาทวงเงินทุกวัน ทำให้คนที่บ้านต้องตัดสินใจเปลี่ยนเบอร์และย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น
หลังจากที่หลานสาวตัดสินใจไปอยู่กับนายตะวันที่ภาคใต้แล้ว เจ้าตัวถูกฝ่ายชายบล็อกเบอร์ และไม่ให้มีการติดต่อ หรือพูดคุยกับคนที่บ้านในจังหวัดนนทบุรีอีกเลย อย่างไรก็ตาม ตัวนี้ตนเองทราบข่าวก็ยังช็อก และทำใจไม่ได้ ไม่มีอะไรฝากบอกถึงตัวคนก่อเหตุ สิ่งเดียวที่จะทำได้ตอนนี้คือการมอบตัวรับโทษตามกฎหมาย แต่ก็ไม่รู้ว่าการที่ถูกจับติดคุก วันหนึ่งออกมาแล้วจะไปก่อเหตุกับคนอื่นได้อีกหรือไม่ ตนอยากจะให้รับโทษให้ถึงที่สุด
Advertisement