จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ภาพนางสุวรรณ อ้อนพรมมา อายุ 75 ปี มีแผลที่แขน โดยอ้างว่าบาดแผลเกิดจากพยาบาลของโรงพยาบาลหนองคาย ดึงพลาสเตอร์ปิดแผลที่ติดแขนออก จนทำให้ผิวหนังที่แขนหลุดติดออกมาด้วย ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นบาดแผลใหญ่
วันที่ 25 ต.ค. 61
นางสุวรรณ อ้อนพรมมา อายุ 75 ปี ผู้บาดเจ็บ เล่าว่า ขณะเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล มีการเจาะสายให้น้ำเกลือที่แขน โดยแปะพลาสเตอร์ที่แขนไว้บริเวณที่มีการเจาะ โดยมีพยาบาลเดินมาดึงพลาสเตอร์ออก ซึ่งตนพยายามบอกว่าให้ทำเบา ๆ เนื่องจากตนแก่แล้ว ผิวจะบาง แต่พยาบาลมีท่าทีไม่พอใจ บอกกลับตนมาว่ารู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาสอน หลังจากนั้นพยาบาลก็กระตุกพลาสเตอร์ออกจากแขนที่เจาะสายน้ำเกลือด้วยความแรง จนเกิดแผลถลอก หลังจากนั้นเมื่อกลับมาที่บ้าน บาดแผลก็เริ่มลามขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นแผลใหญ่ ทั้งนี้ ตนจะไม่กลับไปที่โรงพยาบาลดังกล่าวอีกแล้ว
ด้าน
นางขัน อ้อนพรมมา อายุ 33 ปี ลูกสะใภ้ของยายสุวรรณ เปิดเผยว่า ยายสุวรรณมีไข้ขึ้นสูง ความดันต่ำ อาการเหนื่อยหอบเป็นอย่างมาก อาการคุณยายทรุดจนน่าเป็นห่วง แต่ยังรู้สึกตัว ครอบครัวจึงปรึกษาและเร่งนำตัวคุณยายส่งโรงพยาบาลเฝ้าไร่ ต.เฝ้าไร่ อ.เฝ้าไร่ จ.หนองคาย อย่างเร่งด่วน โดยได้ส่งตัวคุณยายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลหนองคาย โดยหมอบอกว่ายายมีอาการปอดติดเชื้อ ต้องพักรักษาอาการ 7-8 วัน แล้วให้น้ำเกลือ
เมื่อยายกลับมาที่บ้าน ตนเห็นว่ามีแผลที่แขน จึงสอบถามเหตุการณ์ ยายเล่าให้ตนฟังว่าพยาบาลกระตุกพลาสเตอร์จนผิวหนังหลุดติดออกมาด้วย และเกิดแผลดังกล่าว หากอาการยังไม่ดีขึ้นก็จะนำตัวคุณยายส่งโรงพยาบาลหนองคายต่อไป ทั้งนี้ ครอบครัวก็ไม่ขัดข้องเรื่องสถานพยาบาล ขอเพียงให้คุณยายปลอดภัย
ด้าน
นพ.สุรกิจ ยศพล ผอ.รพ.หนองคาย กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบข้อมูล ทราบว่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 61 โรงพยาบาลเฝ้าไร่ จ.หนองคาย ได้นำผู้ป่วยเป็นคุณยาย อายุ 75 ปี จาก จ.บึงกาฬ ส่งมารักษาต่อที่โรงพยาบาลหนองคาย ด้วยอาการปอดอักเสบ ร่วมกับภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอยู่ก่อนคือเป็นภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง จากการกินเสตียรอยด์มาตั้งแต่เป็นสาว การรักษานั้นจะต้องรักษาตามกระบวนการให้ยา คือ ต้องเจาะเลือดเพื่อส่งไปทดสอบในห้องปฏิบัติการหลายครั้ง จึงทำให้ต้องมีรอยแผล รอยเข็มจากการเจาะเลือดซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่เนื่องจากผู้ป่วยเป็นผู้สูงอายุมีผิวหนังเปราะบาง ประกอบกับการใช้เสตียรอยด์มานาน ทำให้เสี่ยงต่อการรับบาดเจ็บง่าย โดยทีมที่ให้การรักษาพบว่าผู้ป่วยมีแผลหรือรอยจ้ำที่แขนมาก่อน จึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการเจาะเลือด หรือกระทบกระเทือนบริเวณนั้น
จนกระทั่งวันที่ 12 ต.ค. 61 ยังไม่พบบาดแผลใด ๆ เพิ่มเติม จึงเชื่อว่าแผลอาจจะเกิดจากการติดเชื้อ หลังจากผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว โดยแพทย์ได้นัดผู้ป่วยมาติดตามรักษาอีกครั้งในวันที่ 22 ต.ค. 61 แต่ผู้ป่วยไม่มาพบแพทย์ตามนัด และขณะนี้ได้จัดทีมของโรงพยาบาลลงไปสมทบกับ รพ.สต.บัวตูม เพื่อไปดูบาดแผล และทำความเข้าใจกับผู้ป่วย พบว่าแผลเริ่มหายตกสะเก็ดทั้งแขนซ้ายขวา นอกจากนี้แผลที่ถลอกตามขาหนีบ ต้นขา และแผลกดทับเป็นหย่อม ๆ ไม่ได้มีอาการรุนแรง
ส่วนข้อมูลการบริการที่ไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตามที่กล่าวอ้าง โรงพยาบาลกำลังตรวจสอบข้อมูล ถ้าหากว่าเป็นความจริง ต้องขอโทษผู้มารับบริการอย่างสูง และจะนำมาปรับปรุงระบบบริการให้ดีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อีก โดยเรื่องนี้มีผลกระทบสูง แต่หากไม่เป็นความจริงจะมีผลกระทบต่อพยาบาลผู้ประกอบวิชาชีพทั่วประเทศ หากเป็นไปได้อยากให้รับฟังข้อเท็จจริงจากหน่วยบริการให้แน่ชัดก่อน
ล่าสุด เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากครอบครัวของนางสุวรรณว่า ได้ส่งตัวคุณยายไปที่โรงพยาบาลเฝ้าไร่อีกครั้ง เนื่องจากมีอาการทรุดและต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งอาการยังไม่ดีขึ้น อยู่ระหว่างประเมินเพื่อส่งต่อไปโรงพยาบาลหนองคาย