จากกรณีที่อาสาสมัครกู้ภัย นายกำพลศักดิ์ สัสดี หรือ โฟ้ค อยู่ในพื้นที่ จ.สตูล ได้ออกมาแชร์เรื่องราวเมื่อ 3 ปีก่อนที่ไม่เคยเปิดปากเล่าให้ใครฟังผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับสิ่งล้ำค่า
ขณะที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมอาสาที่เข้าไปช่วยเหลือกรณี 13 ชีวิตหมู่ป่า ออกจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย โดยเจ้าตัวเล่าไว้อย่างละเอียด เป็นฉากเป็นตอนว่าพบของมีค่าในถ้ำนั้น
วันที่ 12 ต.ค. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีได้เดินทางเข้าไปยังพื้นที่ตามที่ นายกำพลศักดิ์ โพสต์อธิบายไว้ บริเวณอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน แต่เนื่องจากยังอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ทางอุทยานจึงปิด ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ และจะทำการเปิดอย่างเป็นทางการวันที่ 15 ต.ค. 64
นายกำพลศักดิ์ สัสดี อายุ 45 ปี นักสำรวจถ้ำ บอกว่า ตนมีประสบการณ์ในการเดินป่า และการสำรวจถ้ำมานานกว่า 20 ปี โดยเมื่อปี 2561 ได้รับการประสานของความช่วยเหลือในภารกิจช่วยเหลือเหลือ น้อง ๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ติดอยู่ภายในถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ซึ่งภารกิจที่ตนได้รับมอบหมาย คือการสำรวจถ้ำ หาปล่องถ้ำที่จะสามารถทะลุไปยังโถงถ้ำด้านใน โดย 2 วันก่อนพบเจอถ้ำ ตนและทีมก็กำลังสำรวจปล่องถ้ำตามปกติ แต่พบชาวบ้านที่คาดว่าไปเห็บเห็ดของป่าเดินกลับออกมา ซึ่งก็มีการสอบถามเส้นทาง และลักษณะของปล่องเขา ชาวบ้านก็เล่าให้ตนฟังว่าพบเห็นชาวพม่าขนของเต็มกระสอบ ขนทองคำมา มันอยู่ในหิน จะเอาไปถวายวัด พร้อมหยิบกระเทาะให้ดูว่าข้างในหินมีทองจริง แต่ก็บอกกับชาวบ้านว่าไม่ต้องไปหาหรอกนะ เพราะขนออกมาหลายรอบแล้ว มันหมดแล้ว แล้วก็เดินจากไป
วันที่มีการพบปล่องถ้ำ ทางเข้าเป็นลักษณะขนาดไม่กว้างมาก สำหรับคนที่เอวประมาณ 32 นิ้วพอหย่อนตัวลงไปได้ ความลึกดิ่งลงไปประมาณ 100 เมตร ให้บัดดี้รออยู่ข้างบนก่อน เมื่อหย่อนตัวลงมาที่พื้นดิน ความสูงไม่เกิน 2 เมตร ตนพบรอยถากของหินวางทับเป็นแท่น ๆ เหมือนเป็นร่องรอยของมนุษย์เป็นคนทำ จากนั้นเหลือบไปเห็นกระสอบสีดำ และบริเวณกำแพงผนัง มีหินก้อนสีขาว ติดอยู่ตามกำแพง และบนเพดานค่อนข้างเยอะ ตนก็เอามือไปสัมผัสพบว่าเกาะกับกำแพงค่อนข้างแน่นจึงถ่ายภาพเก็บไว้ แล้วก็เกิดความสงสัยว่าเหมือนเรื่องราวที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ก็รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกัน
จากนั้น ก็รีบไต่เชือกกลับปล่องทางเข้าเดิม โดยมีหมอดูทักก่อนหน้านี้เหมือนกันว่า เวลาออกให้ถอยหลังออก เป็นความเชื่อว่าจะไม่มีใครตามออกมา ตนนับถือศาสนาอิสลาม ก็มีคำสอนไม่ให้ยุ่งอะไรกับเรื่องไสยศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ก็เดินถอยหลังออกมา แล้วหาต้นไม้มาปกปิดทางเข้า เพื่อในวันพรุ่งนี้อาจจะมีการเข้ามาสำรวจอีก
ขากลับลงจากเขา ตนนั่งรถออฟโรดลงเขา ซึ่งนั่งอยู่ท้ายกระบะข้างหลัง จากนั้นเหลือบไปเห็นว่ามีลูกแมว 2 ตัว อยู่ข้างทาง แต่มี 1 ตัว ที่ถูกถุงพลาสติกคลุมหัวไว้ ซึ่งลักษณะของแมวก็ไม่เหมือนแมวบ้าน ตนจึงส่งสัญญาณให้รถหยุด แล้วก็กระโดดจากรถไปช่วยแมว จากนั้นก็ติดรถคันข้างหลังที่ขับตามมา
ซึ่งรถคันที่ตนนั่งมาตั้งแต่ทีแรก ประสบอุบัติเหตุรถตกเขามีผู้ได้รับบาดเจ็บ คือคนที่นั่งมาข้างหลังกับตนถูกรถทับ ตนเลยคิดว่าถ้าไม่ลงไปช่วยแมว ก็คงเกิดอุบัติเหตุไปด้วย เหตุผลที่ตนไม่กล้าบอกใคร เพราะกลัวว่าจะมีคนเข้าไปบุกรุกสถานที่ในขณะนั้น เพราะคิดว่าเป็นถ้ำทองคำ จึงไม่ได้เล่าให้ใครฟัง แม้แต่บัดดี้ตัวเองที่เข้าไปในถ้ำด้วย
ส่วนสาเหตุที่ตนตัดสินใจหยิบเรื่องนี้มาแชร์ผ่านเฟซบุ๊ก เพราะอยากให้ชาวบ้านในพื้นที่ทราบว่าในแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่มีคุณค่า ภาคภูมิใจ ซึ่งจะได้เกิดความรัก ความหวงแหน และช่วยกันบำรุงรักษาสถานที่ เผื่อวันข้างหน้าอาจจะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ตนต้องขอเตือนว่ามีความอันตราย ต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการสำรวจเข้าไปเท่านั้น
ทีมข่าวจึงเดินทางไปหมู่บ้านผาหมี ห่างออกจากถ้ำหลวง ประมาณ 2 กม. นายชาญยุทธิ์ รุ่งทวีพิทยากุล อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้านผาหมี บอกว่า ตอนนี้ในส่วนของถ้ำยังคงปิดเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่วนภาพที่ผู้โพสต์ลงเฟซบุ๊กนั้นคุ้น ๆ เพราะตัวเองเมื่อก่อนก็เข้าป่าไปหาผัก หาสัตว์บ่อย น่าจะเป็นบริเวณปล่องถ้ำด้านในสำนักสงฆ์วัดป่าผาหมี ซึ่งมีอยู่หลายปล่องทั้งเล็ก และใหญ่ บริเวณนั้นตนเคยเข้าไปหลายรอบ จะมืดและค่อนข้างชัน หากจะเข้าไปต้องมีไฟฉายและไปกับคนในพื้นที่ แต่จุดประสงค์หลักที่ตนเข้าไปคือเข้าไปสักการะพระสงฆ์ อาจจะพอผ่านตากับหินที่มีลักษณะสีขาวนวลเหมือนในภาพอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้จำไว้หรือเอะใจว่ามันจะมีทองอยู่ด้านใน
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่เคยมีลูกบ้านมาบอกว่าพบทองหรือสมบัติภายในถ้ำแห่งน้ำ อาจจะมีบ้างที่เป็นจำพวกของใช้ เช่น ไหดินสีน้ำตาลแดง ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางตรงปากประมาณ 16 นิ้ว สูง 19 นิ้ว แต่มีลักษณะเบา ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสมบัติ ชาวบ้านที่เจอซึ่งอยู่บนดอยลึกเข้าอีกก็เอาไปใส่ข้าวโพด ทั้งนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา ก็อยากให้มีการบอกกล่าวกับเจ้าหน้าที่ก่อน และอยากให้เข้ามาในลักษณะเชิงอนุรักษ์ ไม่หวังหาสมบัติเงินทอง ส่วนเรื่องของความเชื่อ ตนก็ไม่ห้าม ปล่อยให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละคน
นายกวี ประสมพล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ยืนยันว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ว่าด้านในก้อนหินสีขาวนวลนั้นจะเป็นทอง จากที่ตนได้มีการปรึกษากับทีมธรณีวิทยา มีการเข้าสำรวจถ้ำอยู่ตลอดเป็นประจำ ยังไม่เจอหินในลักษณะนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่ามันอาจจะอยู่ในโพรงปล่องถ้ำที่ยังไม่ได้สำรวจ
อย่างไรก็ตาม ทีมกรมทรัพยากรธรณีบอกชัดเจนว่าในความเป็นจริง หินสีขาวนวลสามารถเป็นไปได้ 3 อย่างคือ แร่แคลไซต์ แร่ควอตซ์ หรือหินอ่อน ซึ่งจะสามารถยืนยันได้ว่าเป็นชนิดใดก็ต่อเมื่อมีการทดสอบทางวิทยาศาสตร์
ส่วนสิ่งของด้านในที่ผู้โพสต์ได้ยินคำบอกเล่ามาว่าเป็นทองนั้น ตามเรื่องเล่าของถ้ำหลวงจะมีอีกถ้ำหนึ่งที่ต่อกันคือถ้ำทรายทอง จะมีทรายสีทองที่มีความละเอียดมาก แต่ไม่ถึงกับคล้ายทอง ทำให้สมัยก่อนชาวบ้านจินตนาการว่าทรายนี้เป็นทอง แล้วมักจะนำไปเข้าวัดทำบุญเพื่อเป็นสิริมงคล สุดท้ายอยากจะเตือนนักท่องเที่ยวและประชาชนหลายคนว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ชายแดน และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง หากมีคนเข้ามาเหยียบย่ำหรือทำลาย สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ก็จะหายไป สุดท้ายระบบนิเวศถ้ำก็จะเสียหาย
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อ.อ๊อด อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายภาพหินดังกล่าวว่า เบื้องต้นไม่สามารถตัดสินด้วยตาเปล่าได้ หากเป็นไปได้ต้องขออนุญาตทางกรมอุทยานออกมาตรวจสอบ
แต่ถ้าถามถึงความเป็นไปได้ว่าหินในภาพจะเป็นอะไรได้บ้าง อย่างแรกคืออาจจะเป็นชั้นหินปูน ที่ถูกเคลือบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนตในน้ำ ทำการเกาะตัวกันแล้วกลายเป็นคราบเหลืองเกาะบนหินปูน ซึ่งแรก ๆ อาจจะเป็นสีขาวขุ่น แต่พอมีการสะสมไปเรื่อย ๆ ก็อาจจะกลายเป็นสีเหลือง คล้ายกับสีทองได้
ส่วนอีกประเด็นคือสิ่งนี้อาจจะเป็น "ไพไรต์" หรือเรียกตามภาษาทางธรณีวิทยาคือ "ทองคนโง่" ซึ่งเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีสีคล้ายทองคำ และเจอบ่อยภายในถ้ำทางภาคเหนือ คนมักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทองคำบ่อย ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไพไรต์มีประโยชน์สามารถนำมาบดเป็นผงแล้วนำไปเป็นสารเคลือบ ซึ่งเราจะคุ้นกันดีในยี่ห้อของกระทะยี่ห้อหนึ่ง หรือหากวิเคราะห์ดูจากหลายรูป จะพบว่ามีค้างคาวอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าก้อนหินนั้นอาจจะเป็นกำมะถันบริสุทธิ์ที่มาจากมูลค้างคาวที่ตกผลึกก็ได้