จากกรณี นายสกล เอี่ยมสะอาด หรือ บอย บุคคลที่ถูกกล่าวอ้างว่า มีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นนิสิตและเข้าไปร่วมทำกิจกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทั่งถูกโลกโซเชียลกระหน่ำแฉพฤติกรรมดังกล่าว รวมถึงมีเรื่องเงินของส่วนกลางที่หายไป ในขณะที่นายสกลศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพานั้น (อ่าน :
“เดชา” โดดช่วย “บอย สกล” เอาผิดเพื่อนใส่ร้ายโกงเงิน เชื่อบริสุทธิ์ ใจกว้าง ไม่ลวงโลก)
วันที่ 1 พ.ย. 61 รายการต่างคนต่างคิด ตอน เผชิญหน้า "บอย สกล" และ "เพื่อนเก่า" เคลียร์ปม นิสิตลวงโลก ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.50 น. ได้เชิญ นายสกล เอี่ยมสะอาด หรือบอยสกล และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ มาร่วมพูดคุยในรายการ
นายบอย ชี้แจงว่า เรื่องที่กล่าวหาว่า ตนไปนั่งเรียนที่จุฬาฯ อยู่หลายปีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะตนเพียงแค่เช่าคอนโดฯ อยู่บริเวณสามย่าน เท่านั้น จึงทำให้อาจมีคนเห็นตนไปซื้อของกินหรือออกกำลังกายที่บริเวณมหาวิทยาลัย แต่ทั้งนี้ขอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เข้าไปเรียนที่จุฬาฯ เป็นหลายปีอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
ส่วนเรื่องค่ายแนะแนวที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีภาพปรากฏว่าตนใส่เครื่องแบบของจุฬาฯ รวมถึงภาพที่แขวนป้าย ระบุว่าเป็นรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยดังกล่าวนั้น ตนใส่เพื่อให้เกียรติสถานที่ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นพิธีกรในวันงาน และชื่องาน ซึ่งมีคำว่า "จุฬา" เท่านั้น ยอมรับว่าในขณะที่ใส่ตนก็ไม่ได้รู้สึกดี ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งค่ายแนะแนวดังกล่าวนี้ บางครั้งอาจจะขาดรุ่นพี่ในบางคณะ - สาขา จึงทำให้ต้องเชิญตัวคนจากต่างมหาวิทยาลัยไปร่วมงาน อีกทั้งตอนก็ไม่ได้บอกรุ่นน้องว่าเป็นรุ่นพี่จากจุฬาฯ อีกด้วย หากรู้ว่าจะมีข้อขัดแย้งตามมาก็คงจะไม่ใส่ตั้งแต่แรก
เรื่องเสื้องานฟุตบอลประเพณีฯ ก็เช่นกัน เสื้อดังกล่าวนั้นใคร ๆก็สามารถซื้อใส่ได้ ไม่เฉพาะนิสิตนักศึกษาเท่านั้น ซึ่งตนชอบสีชมพู และมีเพื่อนเรียนอยู่ที่จุฬาฯ จึงฝากเพื่อนซื้อและใส่โดยไม่ได้คิดอะไร เสื้อยืดแบบอื่น ๆ ก็เช่นกัน เพราะบางครั้งจะมีเพื่อนมาขาย ตนก็แค่ช่วยเหลือเพื่อนด้วยการซื้อมาใส่เท่านั้น
และเรื่องถือป้ายในงานฟุตบอลประเพณีฯ ตนมีโอกาสไปถือเนื่องจากรู้จักกับคนในขบวน ประกอบกับในวันงานมีคนไม่พอ ตนไม่ได้คิดอะไรจึงเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าผู้ที่มาชวนตนเองนั้นทราบหรือไม่ว่าตนไม่ใช่นิสิตของจุฬา
ซึ่ง
ทนายเดชา ในฐานะทนายความผู้ช่วยเหลือนายบอย ให้ความคิดเห็นว่า เท่าที่ได้ฟังมาก็ถือว่าบอยได้ตอบคำถามของสังคมชัดเจนแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนได้สั่งสอนไปแล้วว่า หากไม่ตอบคำถามให้ชัดเจน เรื่องก็จะไม่มีทางจบ เรื่องการใส่เสื้อไปร่วมงานกิจกรรมแนะแนวนั้น บอยยอมรับว่าใส่จริง ซึ่งก็จะต้องมาพิจารณาข้อกำหนดของค่ายดังกล่าว ว่ามีเขียนห้ามเอาไว้หรือไม่ แต่ตนกลับมองว่าบอยเป็นแค่คนสิ้นคิดเฉย ๆ อยากโก้ เพราะเรื่องดังกล่าวนี้ ทางจุฬาฯ เองก็ไม่ได้ติดใจอะไร
นายบอย ชี้แจงต่อว่า เรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่เว็บไซต์เด็กดี เรื่องหารูมเมตนั้น ยอมรับว่าตนประกาศหารูมเมตจริง เนื่องจากคอนโดฯ ที่พักอาศัยนั้นอยู่ในย่านสามย่าน ประกอบกับตนไม่อยากได้ผู้ใหญ่มาเป็น จึงมีความคิดที่จะหาเพื่อนร่วมห้องเป็นนิสิตจุฬาฯ ซึ่งตนเพียงแค่พูดว่า "แอดเข้าจุฬา" เท่านั้น รวมถึงไม่เคยบอกว่าเรียนที่ไหน ทั้งนี้ ตนและเพื่อนคนดังกล่าวเคยมีปัญหาส่วนตัวกัน จึงทำให้พักอาศัยอยู่ร่วมกันได้ประมาณ 1 ปี
จากนั้น
นายโอ๊ต อดีตรูมเมตบอย สกล ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับรายการ โดยเล่าประสบการณ์จากมุมมองตนว่า ตนก็เพิ่งมารู้เรื่องว่าบอยไม่ใช่นิสิตจุฬาฯ พร้อมกับคนอื่น ซึ่งขณะที่พักอาศัยอยู่ร่วมกัน บอยเคยบอกว่าเรียนอยู่ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคอินเตอร์ ของจุฬาฯ ควบไปกับการเรียนที่ ม.รามฯ รวมถึงตลอดเวลาที่อยู่ร่วมห้องกันประมาณ 1 ปีนั้น ตนก็เคยเห็นว่า บอยมีพฤติกรรมแต่งชุดนิสิตออกไปเรียน มีอุปกรณ์ เช่น เน็กไท หัวเข็มขัด ของจุฬาฯ อีกทั้งตนก็ยังเคยพบกับบอยในชุดนิสิตที่มหาวิทยาลัยอีกด้วย
ส่วนเรื่องที่บอยไปนั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่คณะเดียวกันกับบอย ซึ่งหลังจากนั้นพวกตนก็มีปัญหาส่วนตัวกัน เนื่องจากบอยไปว่าร้ายตนให้เพื่อนในภาคฟัง ประกอบกับเป็นช่วงหมดสัญญาเช่าพอดี จึงแยกย้ายกัน
ทนายเดชา กล่าวว่า ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของทั้งสองคน ตนมองว่าเป็นเรื่องของ "ความไม่เหมาะสม" มากกว่า เพราะไม่ได้มีใครเสียหายอะไร นอกจากคู่กรณี ซึ่งหากจะมีการฟ้องร้องกันจริง ก็คงจะต้องพิจารณากันที่พยานหลักฐานเป็นหลัก
ซึ่ง
นายบอย อธิบายถึงประเด็นโกงเงินที่ มหาวิทยาลัยบูรพา (มบ.) ว่า ส่วนเรื่องโกงเงินที่ มบ. ไม่เป็นความจริง เพราะขณะที่ตนศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยดังกล่าวนั้น ตนได้รับตำแหน่งประธานรุ่น และมีการเก็บเงินรุ่นจริง แต่จำนวนยอดเงินก็ไม่ได้สูงถึง 800,000 บาทอย่างที่มีการกล่าวอ้าง เพราะมียอดเงินอยู่เพียงประมาณ 600,000 บาทเท่านั้น
ซึ่งบัญชีที่ใช้เก็บเงินรุ่นนั้นก็ไม่ใช่ชื่อของตนเอง แต่เป็นชื่อของเหรัญญิกในรุ่น ดังนั้นตนจึงไม่สามารถเบิกถอนเงินออกมาเองได้อย่างที่มีการกล่าวอ้าง และตนก็มีหลักฐานในเรื่องการเบิกเงิน แต่ก็เป็นหลักฐานเฉพาะแค่ช่วงเวลาที่ตนศึกษาอยู่ที่ มบ. เท่านั้น
นอกจากนี้ ยอมรับว่า มีการเบิกเงินรุ่นออกมาเพื่อทำกิจกรรม จริงคือ 25,000 บาท สำหรับจัดงานลอยกระทง และ 45,000 บาท สำหรับค่าจัดงานรับน้องจำนวน 3 ครั้ง โดยลักษณะของการใช้นั้นจะเป็นการใช้เพื่อสำรองจ่ายระหว่างที่เบิกเงินของมหาวิทยาลัย ผ่านสโมสรนักศึกษา ซึ่งเงินจำนวนที่มีปัญหาคือ 25,000 บาท เนื่องจากตนก็ยังไม่เคยรับเงินคืนจากสโมสรนักศึกษา ดังนั้นหากสโมสรนักศึกษาบริสุทธิ์ใจจริง ก็ถือให้แสดงหลักฐานเรื่องเงินจำนวนดังกล่าวออกมา ส่วนเงินจำนวนอื่นนอกเหนือจากนั้น ตนไม่ทราบและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
สุดท้าย
นายบอย กล่าวกับสังคมว่า หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ยอมรับว่าเครียดมาก จนต้องไปปรึกษากับจิตแพทย์ ซึ่งผลออกมาว่าตนมีอาการเครียด แพทย์แนะนำให้พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ได้มีปัญหาทางจิตแต่อย่างใด ส่วนที่ตนออกมาอธิบายกับสังคมช้า ก็เพราะคิดว่าจะสะสางปัญหากับผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก่อน แล้วจึงค่อยออกมาอธิบายกับสังคม
ขณะนี้ตนศึกษาที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพิ่งจะสอบเสร็จไป ยอมรับรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิต และตนก็ได้หยุดการกระทำดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ตนต้องการขอโทษสังคม เพราะที่ผ่านมาตนตอบคำถามได้ไม่ชัดเจน ซึ่งหากตนรู้ว่าพฤติกรรมของตนจะสร้างปัญหามากถึงเพียงนี้ คงไม่ทำต้องแต่แรก และต้องการให้เรื่องทั้งหมดจบ ไม่ต้องมีการพูดถึงกันอีก เพราะไม่เพียงแต่ตนเท่านั้นที่เสียหาย แต่องค์กรต่าง ๆ ก็เสียหายไปด้วย