จากกรณี นายวิรัช แซ่เอ้ง อายุ 37 ปี ทำร้ายร่างกาย ด.ช.เหนือ วัย 8 ขวบ จนเสียชีวิต ในพื้นที่ อ.หนองแค ต.หนองแค จ.สระบุรี โดยในวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองแค 21 นาย ได้นำตัวผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพก่อนเวลานัดหมาย 09.00 น. เพื่อกันสื่อมวลชนและชาวบ้านที่จะเข้ามารุมประชาทัณฑ์ขณะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
วันที่ 21 ต.ค. 64 ชาวบ้านบางส่วนมาดักรอดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพก่อนเวลานัดหมายเดิม 10.00 น. ตั้งแต่ที่ผู้ต้องหาเดินทางมาถึง สื่อมวลชนได้พยายามเข้าไปสอบถามผู้ต้องหาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เจ้าตัวไม่พูด พร้อมตรงดิ่งเข้าไปภายในห้องเช่าทาวน์เฮ้าส์ที่เกิดเหตุทันที โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาตให้สื่อเข้าไปภายในบ้าน
จากนั้นประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้พาตัวผู้ต้องหาออกมา ถึงแม้จะมีชาวบ้านเพียงบางส่วนที่มารอชมการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชาวบ้านต่างลุกฮือ หวังจะปรี่เข้าไปรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา มีชาวบ้านคนหนึ่งสามารถเข้าไปทุบหลังของผู้ต้องหาได้
พร้อมกันนั้น ชาวบ้านยังได้ตะโกนสาปแช่งผู้ต้องหาว่า "ไอ้ชั่ว ไอ้เลว ไอ้นรกส่งมาเกิด กินฉี่เมียมึงก่อน" อีกทั้งยังมีการราดน้ำไปยังผู้ต้องหา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกันฝูงชนเอาไว้ได้
รวมระยะเวลาทำแผนประกอบคำรับสารภาพและกันฝูงชนประมาณ 30 นาที จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รีบนำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถตู้ นำตัวกลับมายังอสภ.หนองแค ก่อนจะฝากขังศาลจังหวัดสระบุรี ผ่านวิดีโอคอลคอนเฟอเรนซ์ แล้วส่งตัวไปเรือนจำจังหวัดสระบุรีในเวลา 13.30 น. พร้อมกับตั้งโต๊ะแถลงข่าว
ขณะเดียวกัน นางยุวดี แม่ของผู้ตาย และนางสาวเนย พี่สาวของผู้ตาย ก็ได้พากันออกมานั่งหลบอยู่บริเวณข้างบ้าน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวผู้ต้องหาเข้าไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ด้านใน โดยขณะนั้นทีมข่าวสังเกตเห็นนางสาวธนภรณ์ ป้าของผู้ตาย ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับนางยุวดี แม่ของผู้ตาย พร้อมสอบถามว่าบอกข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหมดแล้วหรือยัง "ต้องไม่ช่วยมันนะ หลานกูต้องไม่ตายฟรี พูดให้หมดนะ" ซึ่งนางยุวดีได้ตอบกลับไปว่า "ไปทำงาน ไม่รู้ว่ามันทำอะไร ลูกสาวก็ไม่เคยบอก"
นางอาภา อายุ 59 ปี ยายของผู้ตาย เดินทางมาถึง แต่ไม่ทันได้เห็นผู้ต้องหา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวผู้ต้องหามาทำแผนประกอบคำรับสารภาพก่อนเวลา ร้องไห้ออกมาจนเกือบจะหมดแรง ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าไปพยุงและปลอบใจ
นางอาภา บอกทั้งน้ำตาว่า ตนให้หลานไปอยู่กับผู้ต้องหา เพราะเด็กอยากอยู่กับแม่ ตนเสียใจ ตนดูแลผู้ต้องมาตลอด แต่ในใจก็คิดว่าผู้ต้องหาไม่ใช่คนดี เคยถามลูกสาวว่าเมื่อไรผู้ต้องหาจะเดินทางกลับภาคใต้ โดยมีครั้งหนึ่งที่ผู้ต้องหาจะเก็บเสื้อผ้ากลับภาคใต้ แต่ลูกสาวก็ขอร้องอีกฝ่ายไม่ให้ไป
นางสาวธนภรณ์ อายุ 38 ปี ป้าของผู้ตาย กล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปจุดธูปนำอาหารไปไหว้ศพผู้ตาย จากนั้นตนเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ แต่ไม่ทันการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาก่อนเวลานัดหมาย ตนอยากจะเห็นหน้าของผู้ต้องหา แล้วถามว่า "ทำทำไม ทำยังไง เพราะผู้ตายเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ" ทางครอบครัวทราบอยู่ก่อนแล้วว่าผู้ตายเป็นคนขี้เมา และมักจะลงมือตีผู้ตาย ตนและครอบครัวก็จะคอยห้ามและเตือนอยู่ตลอด แต่ตนก็ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้จะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ทั้งนี้ ตนได้เห็นบาดแผลของผู้ตาย เกิดคำถามในใจว่าแม่ของเด็กไม่รู้จริง ๆ เหรอ เนื่องจากที่เกิดเหตุไม่ใช่ห้องใหญ่โต โดยแต่ก่อนนางยุวดีเป็นคนรักลูกมาก แต่ตั้งแต่พบเจอกับผู้ต้องหา กลับกลายเป็นคนไม่สนใจดูแลลูก ส่วนผู้ตายตั้งแต่รู้จักกับผู้ต้องหาก็กลายเป็นเด็กเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดอะไรกับครอบครัว
ขณะนี้ทางครอบครัวยังไม่เปิดใจให้กับนางยุวดี แม่ของผู้ตาย แต่ก็คงตัดกันไม่ขาด คงต้องใช้เวลา ๆ ค่อย ๆ พูดคุยกัน หลังจากนี้ ตนคาดว่านางยุวดีน่าจะต้องย้ายออกจากที่พัก เนื่องจากชาวบ้านไม่ต้อนรับ ซึ่งนางสาวเนย พี่สาวผู้ตาย ยืนยันกับครอบครัวว่าจะขออยู่กับแม่ โดยหากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งข้อหาแก่นางยุวดี ทางครอบครัวก็ต้องทำใจยอมรับ เพราะทำอะไรไว้ต้องรับผลของสิ่งที่ทำ
ในเวลา 13.00 น. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี และพ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สภ.หนองแค ได้ร่วมกันตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมนำสายเคเบิ้ลไทบางส่วนมาวางบนโต๊ะแถลง พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าทีตำรวจได้แจ้งข้อหาหนักแก่นายวิรัช แซ่เอ้ง พ่อเลี้ยงโหด
1.ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือทารุณโหดร้าย
2.ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น
3.หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังนั้นถึงแก่ความตาย กระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546) พิจารณาจากข้อหาแล้ว โทษสูงสุดคือการประหารชีวิต
ซึ่งของกลางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดได้ในที่เกิดเหตุ ประกอบไปด้วย 1.สายไฟยาวประมาณ 2 เมตร จำนวน 1 เส้น 2.สายเคเบิ้ลไทตัดขาด 3 ขวดพลาสติกบรรจุปัสสาวะของผู้ตาย จำนวน 1 ขวด
สำหรับพฤติการณ์การกระทำผิด จากการสอบสวน ทราบว่าเหตุเกิดขึ้นในเวลา 20.00 น. ของวันที่ 19 ต.ค. จนถึงเวลา 04.00 น. ของวันที่ 20 ต.ค. ผู้ต้องหาได้ใช้เท้าเตะและสายไฟตี อีกทั้งยังรัดคอโยงกับข้างฝา มีการบังคับให้ผู้ตายปัสสาวะใส่ขวดแล้วบังคับให้ดื่มปัสสาวะของตัวเอง จากนั้นพบว่าผู้ตายยืนหลับ จึงได้เตะปลุกจนล้ม แล้วบังคับให้ผู้ตายห้ามหลับ กระทั่งเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ผู้ตายยืนหลับ จึงได้เตะพร้อมกระทืบผู้ตาย ใช้สายไฟตีซ้ำ จนผู้ตายปัสสาวะราดแล้วสลบไป ผู้ต้องหาจึงได้อุ้มผู้ตายไปห้องน้ำแล้วใช้น้ำราด หวังจะปลุกให้ตื่น เมื่อผู้ตายไม่ตื่น ผู้ต้องหาจึงได้ปลุกนางยุวดี แม่ของผู้ตาย แล้วอุ้มไปส่งโรงพยาบาลหนองแค แล้วกลับมาเก็บเสื้อผ้าที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ หลบหนีไป
กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานไปยังหน่วยงานท้องถิ่นที่ให้สกัดจับผู้ต้องหาบริเวณถนนเพชรเกษม สามารถจับตัวได้ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในเวลา 17.30 น. ของวันที่ 20 ต.ค. 64
พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สภ.หนองแค เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่หนักจนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต ผู้ต้องหาได้ให้การยอมรับว่าเคยบังคับให้ผู้ตายกินพริกขี้หนูป่น จนผู้ตายอาเจียนออกมา ซึ่งผู้ตายก็ได้บังคับผู้ตายให้กินอาเจียนของตัวเอง ครั้งล่าสุด ผู้ต้องหาเห็นผู้ตายยืนหลับ จึงโมโหเตะจนสลบไป
พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี กล่าวว่า ผู้ต้องหาอ้างว่าที่กระทำลงไปเพราะผู้ตายเป็นเด็กเกเร ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่ยอมอ่านหนังสือและทำการบ้าน จนทำให้พลั้งมือกระทำการเลยเทิด ทั้งนี้ ตำรวจจะทำการสอบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายอีกครั้ง ซึ่งหากพบว่าใครมีส่วนร่วมหรือไม่ช่วยเหลือผู้ตาย ก็จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทีมข่าวได้ทำการสำรวจที่เกิดเหตุ ทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว มีลานโล่งภายในรั้ว ภายในตัวบ้านประกอบไปด้วยห้องนอน 1 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง และห้องครัว 1 ห้อง ซึ่งปกติแล้วนางยุวดีกับผู้ต้องหาจะนอนภายในห้องนอน ส่วน ด.ช.เหนือ และนางสาวเนย จะกางฟูกนอนอยู่บริเวณทางเดินนอกน้องนอน
นางยุวดี แม่ของผู้ตาย เปิดใจตัดพ้อว่า ขณะนี้พูดอะไรไป คนก็หาว่าแก้ตัว ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ที่ลูก ๆ ย้ายมาอยู่กับตน ผู้ต้องหามักจะตีลูกชายตนอยู่บ่อยครั้ง แต่ลูกชายเป็นคนอดทน และจะไม่ส่งเสียงร้องออกมา นาน ๆ ครั้งจะร้องออกมาว่า "โอ้ย" ตนมีส่วนผิด เพราะตนไม่ได้พาลูกหนีไปจากผู้ต้องหา แต่ที่ตนไม่ทำ เนื่องจากยิ่งตนห้ามผู้ต้องหา ผู้ต้องหาก็จะยิ่งตีลูกชายของตน
ตนเคยคิดจะเลิกกับผู้ต้อง ตนเคยคิดและพยายามทำให้ครอบครัวมีความอบอุ่น มีความสุข แต่ตนไม่สามารถเลิกราหรือตัดขาดกับเขาได้ เพราะตนผูกพันกับผู้ต้องหา ทั้งที่ยังคบหากับผู้ต้องหาไม่ถึงปี อีกฝ่ายพูดจาดี พูดจาสุภาพกับตน เรียกตนว่าน้อง และดูแลตนดีมาโดยตลอด ขณะนี้ตนเหลือตัวคนเดียว ทางครอบครัวไม่ใยดีตน ตนเหลือเพียงลูกสาวที่ยืนยันจะอยู่กับตน จากนี้จะดูแลลูกสาวให้ดี อยากให้ลูกสาวได้เรียนสูง ๆ ตอนนี้ตนทำอะไรไม่ได้แล้ว คงทำได้เพียงไปร่วมงานศพของลูก หากเป็นไปได้ ตนก็อยากจะตายแทนลูก "ถ้ารู้ล่วงหน้าตนจะห้ามผู้ต้องหา ตนโกรธผู้ต้องหา แต่โกรธตัวเองมากกว่า"
จากนี้ ตนคงจะต้องย้ายออกจากห้องเช่า เพราะคนในตำบลหรืออาจจะทั้งอำเภอไม่ต้อนรับ แต่คงต้องรอเวลาอีกสักพัก เพราะตนไม่มีงานทำ เนื่องจากโควิด-19
นางสาวเนย อายุ 16 ปี พี่สาวของผู้ตาย บอกว่า ตนไม่ได้โกรธผู้เป็นแม่ แต่โกรธพ่อเลี้ยง ตั้งแต่ผู้ตายย้ายมาอยู่ในที่เกิดเหตุ ผู้ก่อเหตุเคยมัดและทารุณผู้ตายมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง ตั้งแต่ตนและน้องชายได้พบเจอกับพ่อเลี้ยงที่จังหวัดภูเก็ต อีกฝ่ายเหมือนจะเป็นพ่อที่ดี แต่เมื่อทุกคนได้ย้ายกลับมาอาศัยที่จังหวัดสระบุรี พ่อเลี้ยงก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เริ่มบังคับให้น้องชายตนอ่านหนังสือ หากอ่านหลังสือไม่รู้เรื่อง ตอบคำถามไม่ได้ พ่อเลี้ยงก็จะบังคับให้อ่านหนังสือไปเรื่อย ๆ ซึ่งตนคิดว่ายิ่งพ่อเลี้ยงกดดัน น้องชายตนก็ยิ่งรนยิ่งตอบคำถามไม่ได้ โดยพ่อเลี้ยงก็จะยิ่งตีหนักขึ้น
ซึ่งในช่วงที่พ่อเลี้ยงกับน้องชายตนยังอาศัยอยู่ห้องเช่าข้าง ๆ คุณยาย พ่อเลี้ยงจะให้ไม้เรียวตีน้องชายตน แต่ตั้งแต่ตนและน้องชายย้ายมาอยู่ในที่เกิดเหตุ พ่อเลี้ยงเริ่มเปลี่ยนมาใช้มือใช้เท้าตีน้องชายตน ซึ่งตีแทบจะทุกวัน ตนยืนยันว่าพ่อเลี้ยงทำไปโดยที่ไม่มีอาการมึนเมา โดยตลอดระยะเกือบ 2 เดือนที่น้องชายตนมาอาศัยในที่เกิดเหตุ พ่อเลี้ยงเคยจับน้องชายตนขึงกำลังกำแพงทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 พ่อเลี้ยงมัดมือน้องชายตน 1 ข้างหนึ่งไว้กับตะปูที่ตอกไว้ข้างหน้าต่าง ครั้งที่ 2 พ่อเลี้ยงมัดมือน้องชายตน 1 ข้างหนึ่งไว้กับตะขอในห้องน้ำ ครั้งที่ 3 พ่อเลี้ยงมัดมือน้องชายตน 1 ข้างหนึ่งไว้กับลูกกรงหน้าต่างหน้าห้องน้ำ
ในวันเกิดเหตุ 19 ต.ค. 64 ตนนอนอยู่บนฟูก เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จนเห็นน้องชายถูกมัดมือข้างหนึ่ง ถูกตีถูกเตะ ส่วนแม่นั้นทำอาหาร แม่ของตนได้ห้ามปรามพ่อเลี้ยงแล้วพูดว่า "อย่าทำลูกเลย" แต่พ่อเลี้ยงเงียบ แล้วยิ่งตีน้องชายตน แม่ของตนจึงกลับเข้าไปนอนในห้อง กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืน น้องชายตนปวดปัสสาวะ จึงขอร้องพ่อเลี้ยงให้ปล่อย แต่พ่อเลี้ยงบอกว่า "ปวดฉี่ก็ฉี่ในขวด" จากนั้นก็บังคับให้น้องชายตนดื่มปัสสาวะตัวเอง ทั้งที่ถูกมัดมือข้างเดียว ให้ใช้อีกมือจับขวดดื่ม โดยที่ตนทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่กล้าเข้าไปช่วย จากนั้นเมื่อพ่อเลี้ยงออกมาแล้วปลุกน้องชายตนไม่ตื่น จึงได้พาตัวไปโรงพยาบาล "ตนไม่โกธรแม่ แต่โกธรพ่อเลี้ยง จากนี้ตนจะอยู่ข้าง ๆ แม่ หนูอยากขอโทษน้อง หนูดูแลน้องไม่ดีเอง"
จากนั้น พนักงานสอบสวนก็ได้นำตัวผู้ต้องหาเดินออกมาจากห้องขัง เพื่อนำตัวขึ้นรถตู้ไปส่งยังเรือนจำจังหวัดสระบุรี โดยสื่อมวลชนได้เข้าไปพยายามสอบถามนายวิรัชถึงเหตุผลที่ทำร้ายผู้ตายจนเสียชีวิต เหตุผลที่บังคับให้ผู้ตายต้องกินปัสสาวะตัวเอง รวมถึงอยากจะพูดอะไรกับผู้ตายหรือไม่ นายวิรัชกลับไม่ตอบคำถามใด ๆ หน้าตานิ่งเฉย โดยก่อนที่นายวิรัชจะขึ้นรถตู้ สื่อได้ถามว่านายวิรัชสำนึกในสิ่งที่ทำลงไปหรือไม่ แต่นายวิรัชก็ไม่ตอบคำถาม