ความคืบหน้าคดีเก๋งพุ่งชนนางสาวฐานินทรา ฉ่ำชื่น หรือ ครูนิค ขณะที่ขับขี่รถจักรยานยนต์กับลูกสาววัย 9 ขวบ และลูกชายวัย 5 ขวบ กลับจากไปจ่ายตลาด จนเป็นเหตุให้แม่เสียชีวิต หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนตัวคนขับรถเก๋งที่ก่อเหตุ จนล่าสุดเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 7 พ.ย. 61 นายพศิน วรวนาวรรณ อายุ 43 ปีลูกชาย และนายจรัญ เอกโสวรรณ อายุ 66 ปี ผู้เป็นพ่อ พร้อมทนายความ เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน โดยที่นายจรัญได้สมอ้างรับผิดเป็นผู้ต้องหาแทนลูกชาย กระทั่งต่อมาญาติของผู้เสียชีวิตได้มีการตรวจสอบหลักฐาน จนแน่ชัดว่ามีการสลับตัวผู้รับผิด และเข้าร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น (อ่าน :
ชัดแล้ว! พ่อรับผิดแทนลูกซิ่งเก๋งชนครูนางฟ้าดับ อ่วมเจอแจ้งความเท็จ อ้างสงสารลูก)
วันที่ 8 พ.ย. 61 ร้อยเวรเจ้าของคดี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เรียกตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พร้อมทนายมาพบพนักงานสอบสวน และควบคุมตัวเพื่อนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องที่ศาลแล้ว ในข้อหาแจ้งความเท็จสำหรับผู้เป็นพ่อ และข้อหาขับรถชนแล้วหนีเป็นเหตุให้มีผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่งขั้นตอนนี้อยู่ที่ศาลแล้วว่าจะพิจารณาให้ประกันตัวหรือไม่
โดยเมื่อเวลา 13.00 น. ครอบครัวของ น.ส.ฐานินทรา ฉ่ำชื่น หรือ ครูนิค ได้เคลื่อนศพจากวัดม่วงคำ ตำบลป่าไหน่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ไปยังสุสานบ้านม่วงคำ โดยบรรยากาศในงานเป็นไปด้วยความโศกเศร้า โดยทุกคนร่วมกันแต่งชุดดำไว้อาลัยให้กับครูนิค ซึ่งมีญาติคนสนิท รวมถึงเพื่อนที่มาร่วมงาน และชาวบ้านในพื้นที่ เดินทางเข้าร่วมพิธีฌาปนกิจศพในบ่ายวันนี้ จากการสังเกต พบว่าภายในงานไม่มีตัวแทน หรือฝ่ายของคนขับรถมาร่วมงานแต่อย่างใด ซึ่งบรรยากาศการจัดงานศพ จัดขึ้นแบบประเพณีล้านนา โดยการประชุมเพลิงบนกองฟอน ประดับตกแต่งด้วยปราสาทสีทอง ทำจากกระดาษตามความเชื่อเพื่อให้ผู้ตายไปสู่ภพภูมิที่ดี
จากนั้นช่วงที่นำโลงศพของครูนิค เคลื่อนไปตั้งบนกองฟอน และเปิดโลงให้ญาติเข้าไปดูหน้าศพเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งมีแม่ผู้ตายได้เดินทางเข้าไปดูหน้าลูกด้วยอาการโศกเศร้า และร้องไห้อยู่ตลอดเวลา พร้อมระบุว่าขอให้ลูกไปสู่สุคติ และไปสู่ภพภูมิที่ดี ทั้งยังได้พยายามเกาะอยู่ที่ขอบโลงศพ นั่งร้องไห้อยู่บริเวณดังกล่าว จนญาติต้องมาพาตัวออกไป ขณะเดียวกัน ญาติ ๆ ต่างยังคงร้องไห้เสียใจเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ แม่ของผู้ตายบอกกับทีมข่าวว่า ยังอยู่ในอาการโศกเศร้าเสียใจ ขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์ในตอนนี้ อยากจะส่งดวงวิญญาณของลูกให้ไปสู่สุคติ และขอบคุณสื่อมวลชนที่เป็นสื่อกลางให้สังคมรับรู้ความจริง
ด้านของ
นางสาวชญาดา เครือซุง หรือปอ น้องสาวผู้ตาย อายุ 24 ปี เปิดเผยว่า ตนเองมองว่า คนขับรถขนไม่มีความรับผิดชอบ เพราะภายหลังเกิดเหตุ คนขับได้สลับตัวกับพ่อให้มารับผิดแทน แต่ตอนนี้คนขับตัวจริงเข้ามอบตัวกับตำรวจแล้ว ญาติก็ไม่ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย ตอนนี้ทราบว่า มีการฟ้องคดีกับ 2 พ่อลูกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนกรณีที่ญาติของคนขับรถชนได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวต่อศาลนั้น ส่วนตัวมองว่า ทางครอบครัวได้พบกับความสูญเสีย แต่อีกฝ่ายกลับได้รับการประกันตัว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งยอมรับว่า ทั้งที่วันนี้เป็นวันเผาศพ และเป็นวันสุดท้ายของผู้ตาย ฝ่ายญาติหรือตัวคนขับรถชน ก็ไม่เข้าร่วมงาน หรือส่งตัวแทนมางานศพ ช่วงที่ผ่านมาได้รับค่าเยียวยาเป็นค่าทำศพเพียง 50,000 บาทเท่านั้น ซึ่งครอบครัวได้เรียกร้องเงิน ประมาณ 100,000 บาท แต่ทางคนขับรถชน อ้างว่าไม่มีเงินเพียงพอ แต่ไม่ว่าจะจำนวนเงินเท่าไรก็ตาม ก็แลกให้ชีวิตหนึ่งกลับมาไม่ได้
ส่วนลูกของผู้ตาย ทั้ง 3 คนนั้น คงเป็นหน้าที่ของยาย และครอบครัว ที่จะดูแลเด็ก ๆ ต่อไป แต่ภาระจะลดลงเนื่องจากคนโต วัย 14 ขวบ หรือ เณรกอล์ฟ ได้บวชเรียน และปฎิบัติธรรม ตั้งแม่พ่อเลิกกับแม่ไปเมื่อ 6-7 ปีก่อน ส่วนเด็กอีก 2 คน คงจะต้องช่วยกันดูแลกันต่อไป อยากให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งให้ฝ่ายผู้ที่ขับรถชนรับผิดชอบจ่ายเงินชดเชยเยียวยา เพื่อนำไปใช้ในการดูแลลูก ๆ ของผู้ตายต่อไป โดยนางสาวชญาดาได้ยกมือไหว้ ร้องขอให้หน่วยงานเข้ามาดูแลลูก ๆ ผู้เสียชีวิต เพราะตอนนี้พวกเขาไม่มีที่พึ่งที่ไหนแล้ว พ่อเด็กก็เป็นคนติดเหล้า
ด้าน
นางแก้วลูน เครือซุง หรือลูน อายุ 59 ปี น้าของผู้ตาย บอกว่า ตอนนี้ยังรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคนตายเป็นหลักของครอบครัว และมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกถึง 3 คน ตอนที่คนก่อเหตุขับรถทำไมถึงไม่ระมัดระวังในการขับขี่ ประมาทเกินไป ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งหากย้อนกลับไป ถ้าหากเป็นลูกหลานของผู้ก่อเหตุบ้าง เขาจะคิดอย่างไร เขาจะเสียใจเหมือนครอบครัวของเราหรือไม่ ตนคิดว่าชีวิตแลกชีวิต และย้ำว่าจะไม่ยอมความ จะสู้ให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้
นางแก้วลูน เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุครอบครัวคนขับรถชน พยายามติดต่อมาเพื่อจะเจรจาช่วยเหลือครอบครัว โดยจะจ่ายเป็นเงินรายเดือนต่อเนื่องกันไปทุกเดือนเพื่อเลี้ยงดูลูกของผู้ตาย แต่ครอบครัวไม่เชื่อ เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กระทั่งคนทำผิดยังต้องสลับตัว วิธีนี้เรียกว่า “คนขี้โกง” ซึ่งหากไม่โกง ก็คงไม่ทำแบบนี้ พร้อมทั้งยอมรับว่า ไม่อยากให้เป็นคดีความ เนื่องจากหากต้องขึ้นศาลก็จะเสียเวลาทั้งคู่ อีกทั้งจำนวนเงินที่ต้องไปจ้างทนายความก็จะสูญเสียไปจำนวนมาก ดังนั้น จำนวนเงินดังกล่าวอยากให้นำมาดูแลเด็ก จะเกิดประโยชน์มากกว่า จนถึงทุกวันนี้ลูกทั้ง 3 คน ของครูนิคยังคงบ่นคิดถึง อยากกอดแม่ และนอนร้องไห้เสียใจทุกคืน
ส่วนวันเดียวกันนี้ ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้ประกันตัว 2 พ่อลูก ด้วยวงเงินประมาณ 300,000 บาท แต่ก่อนหน้านี้ครอบครัวอ้างว่าไม่มีเงินจ่ายค่าทำศพ และเงินชดเชย ซึ่งครอบครัวครูนิค เรียกร้องเพียงแค่ 100,000 บาทเท่านั้น