กรณี น้องมิวสิค (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ถูกนายเมธี อายุ 36 ปี ผู้เป็นพ่อ ทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส เยื้อหุ้มสมองบวม ตามร่างกายมีรอยทุบตีและรอยจี้ของบุหรี่ จากนั้นนายเมธี และน.ส.อารีรัตน์ ผู้เป็นแม่ ได้นำตัวน้องมิวสิค ไปส่งที่โรงพยาบาล และได้ทิ้งน้องมิวสิค เอาไว้ให้พยาบาล โดยอ้างว่าตาและยายเป็นผู้ทุบตีน้องมิวสิค ก่อนที่ทั้งคู่จะหลบหนีไป กระทั่งตำรวจตามไปจับกุมตัวได้ภายในช่องเช่าแห่งหนึ่ง
ล่าสุดวันที่ 26 ต.ค.64 ที่สภ.เมืองสุพรรณบุรี นายเมธี อายุ 36 ปี และน.ส.อารีรัตน์ พ่อแม่ของเด็ก ยังถูกควบคุมตัวในห้องขัง สภ.เมืองสุพรรณบุรี โดยช่วงบ่ายพนักงานสอบสวนได้คุมตัวทั้ง 2 ผู้ต้องหา สอบปากคำเพิ่มเติม โดยนายเมธี อยู่ในอาการเครียด และยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายลูกสาว ส่วนที่เอาไปทิ้งไว้และไม่ได้ไปดูแลนั้น อ้างว่ามีปัญหาเรื่องครอบครัวกับทางพ่อตาและแม่ยาย และได้ชักชวนเมียไปเยี่ยมลูกแล้ว แต่เมียปฏิเสธ
นายเมธี กล่าวว่า หากถามตนว่ารักลูกเท่ากันหรือไม่ ลูกใครไม่รักบ้าง ส่วนประเด็นที่มีคนสงสัยว่าที่ตนทำร้ายเด็ก เพราะว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง ใครเป็นคนพูด เพราะไม่เป็นความจริง
ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวนได้นำของกลาง เช่น กางเกงขาสั้น เสื้อยืด ในวันที่นำเด็กไปทิ้งที่โรงพยาบาล ให้นายเมธีชี้ พร้อมทั้งคีมปากจิ้งจก ที่คาดว่าเป็นอาวุธทำร้ายลูกสาว แต่นายเมธี ปฏิเสธว่านำไปบีบสร้อยคล้องพระ ขณะที่ตำรวจนำตัว น.ส.อารีรัตน์ ไปยังห้องสอบปากคำ โดยเธอไม่ขอให้ข้อมูลใด ๆ กับสื่อมวลชน
อย่างไรก็ตาม ในชั้นสอบสวน น.ส.อารีรัตน์ ให้การยอมรับกับพนักงานสอบสวนว่า นายเมธี เป็นคนทำร้ายลูกสาวจริง สาเหตุจากปมหึงหวง เพราะสงสัยว่าลูกสาวไม่ใช่ลูกของตัวเอง ตนยืนยันว่าน้องมิวสิค คือ ลูกสาวของนายเมธี เขาต้องการกดดันให้ตนช่วยหาเงิน จึงลงมือทำร้ายลูก
พ.ต.อ.กฤศ จันทร์สว่าง รักษาราชการแทน ผกก.สภ.เมืองสุพรรณบุรี เปิดเผยว่า พ่อของเด็กยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้ทำร้ายเด็ก ขณะที่แม่เด็กรับสารภาพว่าพ่อเด็กทำ แต่ด้วยความรักที่มีแต่ฝ่ายชาย จึงอ้างว่าทำเพราะลงโทษเด็กเท่านั้น ในเบื้องต้นผู้เป็นพ่อเป็นผู้กระทำเพียงคนเดียว
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าที่หน้าที่ตำรวจจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน มั่นใจว่าจะสามารถเอาผิดพ่อของเด็กได้ แม้ขณะนี้ยังจะปฏิเสธก็ตาม แต่มีคำให้การของเด็กที่บอกว่าพ่อเป็นคนทำร้าย ประกอบกับหลักฐานแวดล้อมและพยานบุคคล อีกทั้งคนเป็นพ่อยังมีประวัติอาชญากรรม จึงเชื่อน่าจะมีพฤติกรรมไม่ปกติ และคาดว่าเด็กน่าจะถูกทำร้ายบ่อย ๆ ครั้ง
ขณะที่นายเมธี มีความพยายามขอประกันตัว แต่เนื่องจากครอบครัวนายเมธี ไม่มาเดินเรื่องจึงไม่สามารถทำได้ ขณะเดียวกันในชั้นสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน คดีดังกล่าวเบื้องต้น ตำรวจแจ้ง 4 ข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกาย 2.พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก 3.พ.ร.บ.ความรุนแรงในครอบครัว และ 4.เสพยาเสพติด
ทีมข่าวได้เดินทางไปยังห้องพักที่เกิดเหตุ ลักษณะเป็นห้องเช่าชั้นเดียว 5 ห้อง สีส้มอ่อนห้องเช่าของนายเมธี ได้ล็อกกุญแจเอาไว้ หลังจากนั้น ทีมข่าวได้รับคลิปวิดีโอ ในช่วงเวลา 07.00 น. ขณะที่ตำรวจพาตัวน.ส.อารีรัตน์ เข้ามาเก็บหลักฐานเพิ่มเติมภายในห้องเช่าที่เกิดเหตุ
นอกจากนี้ ทีมข่าวเดินทางย้อนกลับไปที่ซอยจุดเกิดเหตุอีกครั้ง บริเวณปากซอยมีร้านขายของชำ เป็นร้านประจำที่นายเมธีและน.ส.อารีรัตน์ มักจะออกมาซื้อของใช้ เนื่องจากอยู่ใกล้ห้องเช่า
น.ส.นิลจา (นามสมมติ) ลูกสาวเจ้าของร้านขายของชำ กล่าวว่า โดยปกติตนจะเห็นนายเมธี เป็นคนขี่รถมอเตอร์ไซค์สีน้ำเงิน มีเด็กหญิงมิวสิคนั่งด้านหน้า ส่วนเด็กชายมิกซ์ นั่งบริเวณตรงกลาง น.ส.อารีรัตน์ จะนั่งอยู่ด้านหลัง ซึ่งการออกมาซื้อของก็จะมากันเป็นครอบครัว ลักษณะซ้อนกันมา 4 คน เวลาไปไหนมาไหนก็จะพากันมาแบบครอบครัว และทุกครั้งก็จะเห็นมาในลักษณะแบบนี้เป็นประจำ
เมื่อมาถึงบริเวณร้านขายของชำ ตัวของนายเมธี จะนั่งอยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ ไม่ได้ลงมาซื้อของ แต่จะใช้ให้ภรรยาเป็นคนมาซื้อของแทน จากนั้นก็จะตะโกนสั่งซื้อของ ซึ่งเวลาที่มาร้านขายของชำก็จะซื้อบุหรี่ 1 ซอง น้ำแข็ง 5 บาท 1 ถุง แล้วก็รีบขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับเข้าไปที่ห้องเช่า เฉลี่ยจะออกมาซื้อบุหรี่สัปดาห์ละประมาณ 2 ซอง แต่เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดเหตุ บุหรี่ขึ้นราคาเป็น 65 บาท ในวันดังกล่าวนายเมธี มีลักษณะอาการหงุดหงิดไม่พอใจที่บุหรี่ขึ้นราคา ใช้ถ้อยคำหยาบคายและบ่นพึมพำก่อนที่จะพากันขับรถออกไปซื้อที่ร้าน ดังนั้นถ้าหากวิเคราะห์ตามบาดแผลของเด็กหญิงมิวสิคลูกสาวคนเล็ก ที่มีรอยบุหรี่ จึงเชื่อว่าเกิดจากพฤติกรรมของนายเมธีพ่อเป็นคนสูบบุหรี่
ทั้งนี้ ช่วงต้นเดือนตนยังเห็นนายเมธีและแฟนสาวพากันออกมาซื้อของ ซึ่งมาครบทั้ง 4 คน แต่ระยะหลังก่อนที่จะปรากฏเป็นข่าวมีเพียงนายเมธี นางสาวอารีรัตน์ และเด็กชายมิกซ์ ไม่เห็นเด็กหญิงมิวสิค ตนจึงเชื่อว่าอาจจะเกิดเรื่องกับเด็กแล้ว แต่ทั้งหมดยังกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เพียงแค่ไม่มีน้องมิวสิคอยู่ด้วยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากลักษณะของพ่อและแม่ของเด็ก มักอารมณ์ฉุนเฉียว ไม่อยู่คงที่ แปลกไปจากชาวบ้านทั่วไป ดูลักษณะคล้ายกับคนเสพยาเสพติด หรือเป็นพวกติดยา ประกอบกับระยะหลังดูโทรมมากขึ้น ตนจึงเชื่อว่าพ่อและแม่ของเด็กมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือไม่
นายเปี๊ยก ตาเด็กหญิง 4 ขวบ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนปักใจเชื่อว่านายเมธี เป็นคนลงมือทุบตีหลานสาวคนเดียว เพื่อประชด น.ส.อารีรัตน์ ส่วนนายเมธี จะอ้างว่ามีปัญหากับตนและภรรยา แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นพ่อหากไม่ได้ทุบตีลูก ควรที่จะมาดูแล ไม่ใช่ทิ้งขว้างไว้แบบนี้ โชคดีที่แพทย์โทรมาแจ้ง ยอมรับว่าขณะที่เห็นหลานสาวหัวใจตนแทบสลาย
สำหรับสาเหตุที่ครอบครัวไม่ชอบนายเมธี เนื่องจากไม่ทำการทำงาน เอาแต่เสพยาเสพติด และพูดโกหก ช่วงที่ออกจากเรือนจำมาอ้างว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ ความมาแตก เพราะน้องมิวสิคมาฟ้องว่านายเมธี ได้ทำร้ายน.ส.อารีรัตน์ ด้วยการเตะ กระทั่งตนสอบถามกับน.ส.อารีรัตน์ ถึงสาเหตุที่ถูกทำร้าย โดยน.ส.อารีรัตน์ยกมือไหว้ และอ้างว่านายเมธี บังคับให้เสพยาเสพติด ตนจึงไล่ออกจากบ้านไป จากนั้นตนก็ไม่ได้ติดต่ออีกเลย
อย่างไรก็ตาม ตนคงไม่ประกันตัวน.ส.อารีรัตน์ อยากให้ไปปรับพฤติกรรมเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ไม่ใช่มีนิสัยที่ลักขโมยเหมือนเดิม ซึ่งแต่ก่อนยอมรับว่าเขาชอบมาขโมยเงินหรือข้าวของภายในบ้านไปเลี้ยงดูนายเมธี หากเปลี่ยนพฤติกรรมได้พร้อมที่จะให้อภัย แต่หากทำไม่ได้ก็คงต่างคนต่างอยู่
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้รับกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นกล้องของเขตเทศบาล พบว่ากล้องดังกล่าวจับภาพในวันที่ 9 ต.ค.64 เวลา 01.34 น. เป็นรถมอเตอร์ไซต์สีน้ำเงิน ซึ่งมีนายเมธีเป็นคนขี่ น้องมิวสิคนั่งตรงกลาง และตัวของน.ส.อารีรัตน์ เป็นคนอุ้ม อย่างไรก็ตาม ในเวลา 11.00 น. ที่รพ.เจ้าพระยายมราช นางส้ม ผู้เป็นยายได้เดินทางพาน้องมิวสิค พบแพทย์จิตเวชเด็กที่ รพ.เจ้าพระยายมราช ขณะที่น้องมิวสิค พูดจารู้เรื่อง สามารถพูดคุยกับผู้คนได้
นางกัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า ภายหลังจากทราบข่าว วันนี้จึงเดินทางมาเยี่ยมเด็กที่ถูกทำร้าย ที่ รพ.เจ้าพระยายมราช โดยนำตุ๊กตาและเงินมามอบให้ เบื้องต้นจากการพูดคุยกับเด็ก เริ่มมีอาการดีขึ้น พูดเก่ง ส่วนสภาพจิตใจต้องฟื้นฟูสักระยะ และทางโรงพยาบาลจะนัดตรวจร่างกายและจิตใจเป็นระยะ
ส่วนความเป็นอยู่ของเด็ก หลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่ พม. คอยดูแลร่วมกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงดังกล่าวถึงแม้ว่าจะเป็นความรุนแรงในครอบครัว แต่เด็กไม่ใช่สมบัติของครอบครัว ตนอยากฝากทุก ๆ ครอบครัว รวมถึงคุณครูให้ช่วยสอดส่องดูแล
นายเมธี อายุ 36 ปี ผู้ต้องหา กล่าวยืนยันว่า ตนไม่ได้เป็นผู้ทำร้ายลูกสาว ตนเป็นพ่อแท้ ๆ จะตีลูกตัวเองได้อย่างไร ซึ่งก่อนที่จะพาลูกสาวไปโรงพยาบาล ภรรยาได้อุ้มลูกสาวพร้อมกับลูกชายมาที่บ้านมาเคาะประตูห้อง ประมาณเวลา 01.00 น. กระทั่งตนเห็นว่าลูกสาวถูกทำร้ายร่างกาย หน้าตาพกช้ำแล้ว จึงตัดสินใจพาส่งโรงพยาบาลทันที ตนยอมรับว่าสงสารลูกมาก ๆ
นอกจากนี้ ตนไม่ทราบว่าลูกสาวถูกใครทำร้ายร่างกาย เนื่องจากภรรยาออกจากบ้านไปได้เกือบ 1 สัปดาห์ ซึ่งหากมีปากเสียงกัน ภรรยาก็จะเอาลูกไปอยู่ด้วยทั้ง 2 คน ส่วนจะไปไหนนั้นตนไม่ทราบ เพราะเขาไม่บอกอะไรเลย ได้แต่ปากแข็ง
โดยตนนั้นคบหาดูใจกับภรรยามา 8 ปีแล้ว ยอมรับว่าในอดีตเคยทำร้าย แต่ปัจจุบันตั้งแต่ออกเรือนจำมา มีเพียงปากเสียงกันเท่านั้น ส่วนหลายคนสงสัยว่าตนรักลูกไม่เท่ากัน ขอชี้แจงว่าตนรักลูกเท่ากัน หากตีตนก็คงจะตีลูกชายคนโตมากกว่าลูกสาว นอกจากนี้ หลังจากเกิดเหตุยอมรับว่ามีความเครียด เพราะตนไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่าเสพยาเสพติดแต่นาน ๆ ครั้ง และก่อนหน้านี้มีคดีชิงทรัพย์ ส่วนความสัมพันธ์ของตนและภรรยานั้นยังไม่ทราบ