กรณีด.ต.เชิด อายุ 51 ปี หึงโหดบุกไปที่พักของนายธนะโรจน์ อายุ 58 ปี ซึ่งเปิดเป็นบริษัท มีหุ้นส่วน ได้แก่ นางสาวศุภจิตรา อายุ 39 ปี สาวคนสนิทของด.ต.เชิด ก่อนที่ด.ต.เชิด จะถือปืนเข้าไป พร้อมลากตัวฝ่ายหญิงไปทุบตีอย่างหนักจนหน้าตาเขียวช้ำ
ล่าสุดวันที่ 30 ต.ต.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังที่เกิดเหตุ จึงได้พูดคุยกับ นางสาวศุภจิตรา อายุ 39 ปี ซึ่งใบหน้ายังคงบวมเขียวช้ำ ต้องใช้น้ำแข็งประคบใบหน้าอยู่ตลอดเวลา
นางสาวศุภจิตรา กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบของจังหวัดชุมพร แต่เพิ่งย้ายไปจังหวัดภูเก็ตเมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งตนรู้จักกันเมื่อ 8 ปีก่อน จากนั้นก็ได้สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา โดยปกติเขาจะเป็นคนพูดจาดีและสุภาพ ให้เงินตนใช้เดือนละ 4,000 บาท แต่เวลาโมโหด้วยความหึงหวง เขาก็จะเปลี่ยนเป็นคนละคน ทุบตีทำร้ายตน บางครั้งก็ใช้เชือกมัดมือคล้ายกับตนเป็นคนร้าย อีกทั้งยังบังคับไม่ให้ตนไปไหนหรือพบเจอใคร
กระทั่งเมื่อ 3 เดือนก่อน ตนเริ่มรู้สึกทนพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุไหมไหว จึงอยากยุติความสัมพันธ์ และไม่อยากทำบาปเป็นมือที่ 3 ให้กับครอบครัวของผู้ก่อเหตุ ตนจึงขอเลิกกับผู้ก่อเหตุ แต่ผู้ก่อเหตุไม่ยอม กระทั่งในเดือนตุลาคม ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนของบริษัททำปุ๋ยและแพ็กใบกระท่อมส่งขาย ซึ่งในวันเกิดเหตุตนกำลังกินข้าวอยู่ภายในบ้าน ได้ยินเสียงดังโวยวาย ตนจึงวิ่งหลบเข้าไปให้ห้องของนายธนะโรจน์ ซึ่งอาจทำให้ผู้ก่อเหตุเข้าใจผิด และไม่ยอมฟังคำอธิบาย ปรี่เข้ามาหยิบหม้อทุบตีตน จากนั้นตนจึงคว้ามีดมาจ่อที่คอตัวเอง พร้อมขู่ว่า “จะฆ่าตัวตาย” อีกฝ่ายจึงยอมปล่อย ตนจึงวิ่งหนีออกมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ตนต้องพักรักษาตัว โดยยังคงรู้สึกปวดแผล ไม่มีแผลเย็บ และตนอยากให้ผู้ก่อเหตุคิดถึงอนาคตของตัวเองและครอบครัวบ้าง อีกทั้งปากบอกรักตน แต่ทำกลับตนแบบนี้ ตนก็จะขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ขอกลับไปสานสัมพันธ์หรือยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายธนะโรจน์ จันทรโชติวิสิฐ อายุ 58 ปี เจ้าของบ้านที่ดาบตำรวจบุกไปพัง ในพื้นที่ ม.1 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร กล่าวว่า เมื่อคืนนี้ตนเดินทางกลับมาจากจังหวัดเพชรบุรี ก็ได้อาบน้ำกินข้าวแล้วสวดมนต์ ในเวลาประมาณ 00.00 น. เข้าวันที่ 30 ตุลาคม 64 ตนกำลังสวดมนต์ชุมนุมเทวดาอยู่ในห้องพัก แต่จู่ ๆ ก็มีอะไรไม่รู้มาบุกรุกก่อกวนบ้านของตน ตนไม่ได้รู้จักผู้ก่อเหตุ ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเพื่อนของลูกสาวตน จึงได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเมื่อต้นเดือนตุลาคม 64
ในช่วงเกิดเหตุ ตนได้ยินเสียงลูกสาวโวยวาย ไม่นานผู้ก่อเหตุก็บุกเข้ามาทางหลังบ้าน ถีบพังประตูไม่อัด ห้องข้าง ๆ แล้วก็พังเข้ามาในห้องของตน ซึ่งผู้บาดเจ็บวิ่งเข้ามาหลบ ตนเข้าใจว่าผู้ก่อเหตุคงคิดว่าตนมีความสัมพันธ์กัน แต่ผู้ก่อเหตก็ไม่ควรบุกมาในบ้านของประชาชนแบบนี้ ตนได้พยายามอธิบายบอกให้ใจเย็น ๆ “มีอะไรค่อย ๆ พูด คุณจะทำอะไร คุณเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ” แต่ผู้ก่อเหตุทำท่าจะหยิบปืนที่เอว ตนจึงเอามือดันและจับมือของผู้ก่อเหตุเอาไว้
ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุขัดขืน แล้วสะบัดมือของตนออก พร้อมกับตบหน้าของตน 1 ครั้ง ตนเอามือปัดออก แต่ก็โดนเล็กน้อย ตนสุดที่จะอธิบาย ตนจึงเดินออกมาจากบ้าน แล้วช่วยลูกสาวโทรศัพท์แจ้ง 191 โดยตนพยายามโทรแจ้ง 191 แต่ไม่มีใครรับสาย กระทั่งเหตุสงบสายตรวจถึงเดินทางมาถึงบ้าน ทั้ง ๆ ที่สภ.เมืองชุมพร ห่างจากบ้านของตนเพียง 12 กิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม บ้านของตนได้รับความเสียหาย เช่น ประตู 2 บาน ข้าวของเครื่องใช้เล็กน้อย ยังไม่ได้ประเมินราคา แต่ที่ตนติดใจคือการที่ผู้ก่อเหตุ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือปืนบุกเข้ามาบ้านของประชาชน ตบตีผู้หญิงในบ้านของคนอื่น ดังนั้น ตนจะขอดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด “คนเป็นเจ้าหน้าที่ควรตระหนักและมีความคิดแยกแยะให้ได้มากกว่านี้ คุณมีกฎหมายมีอาวุธในมือ ถ้าขาดสติก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้”