จากกรณีนางสาวพัทธนันท์ พัฒนาวิริยะกูล หรือ มิว โพสต์เฟซบุ๊กว่า ลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในรถแท็กซี่ วันที่ 23 พ.ย. จากนั้นโทรหาเป็น 10 สาย แท็กซี่ไม่รับ เกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะนำมาคืน จึงขับรถยนต์ตามหา พบแท็กซี่กำลังจอดรับผู้โดยสาร จึงได้เข้าไปเปิดประตูฝั่งด้านหลัง ก่อนแท็กซี่จะเหยียบคันเร่ง และลากร่างไปด้วย ทำให้ได้รับบาดเจ็บ โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระทุ่มแบน ไม่รับแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย และข่มขู่ แต่เขียนลงบันทึกประจำวันให้เป็นเหตุการณ์เท่านั้น
วันที่ 25 พ.ย. 61
นางสาวพัทธนันท์ พัฒนาวิริยะกูล หรือ มิว ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เจตนาของตนหลังจากที่นึกได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือในรถแท็กซี่ ที่ตนได้เรียกจากซอยสุคนธวิท 20 และโทรไปหารถแท็กซี่กลับบอกว่าจะไม่คืนโทรศัพท์ ซึ่งผ่านมาเป็นเวลากว่าชั่วโมง ตนเองจึงได้ไปที่สภ.กระทุ่มแบน เพื่อที่จะแจ้งความว่ารถแท็กซี่ได้เอาโทรศัพท์ของตนไป แต่ตอนนั้นแท็กซี่ไม่ได้เข้าไปที่สภ.ด้วย
ตนจึงได้ขับรถตามแท็กซี่ไปจนถึงคลองมะเดื่อ บนถนนเส้นที่จะไปมหาชัย และเมื่อพบรถแท็กซี่ ตนก็เดินลงมาจับที่เปิดประตูรถแท็กซี่ โดยเอามือจับที่เปิดรถประตูหลัง และเคาะกระจกรถ แต่รถแท็กซี่กลับขับรถออกไปเลย โดยที่มือของตนยังกำอยู่ที่เปิดประตูรถทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลถลอกที่หัวเข่า มือ และคาง
ซึ่งตนเองรู้สึกไม่สบายใจ กับการขึ้นรถแท็กซี่แล้วต้องพบเจออะไรแบบนี้ และคนขับรถแท็กซี่เอง นอกจากไม่เห็นอกเห็นใจตนแล้ว ก็ยังใช้คำพูดไม่ดีกับตน ซึ่งตนเองพูดจาสุภาพตลอด แต่คนขับรถแท็กซี่กลับไปบอกตำรวจว่าตนเองพูดมึงกู นอกจากนี้ยังบอกว่า "ถ้ามีปืนก็จะยิง" ซึ่งหากใครได้ยินก็ต้องรู้สึกกลัว ตนคิดว่าไม่ใช่เจตนาของคนดี และขอแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาข่มขู่ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความแต่อย่างใด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตนเองรู้สึกสิ้นหวัง และคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะทางรถแท็กซี่ก็บอกว่าจะมาฟ้องร้องค่าเสียหายเรื่องกระจกรถและเรื่องของการหมิ่นประมาท และตนเองก็จะฟ้องกลับบ้างได้ไหม
นายเทอดเกียรติ คงดี คนขับรถแท็กซี่ เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุ ตนขับรถแท็กซี่ตามปกติ ต่อมามีทอมกับหญิงคู่หนึ่ง โบกรถแท็กซี่ของตน จากซอยสุคนธวิท 20 และผู้หญิงบอกให้ตนออกรถได้เลย แต่ตนไม่สามารถขับรถออกไปได้ เพราะว่าทอมดึงประตูรถเอาไว้ และเหมือนจะยื้อแย่งตัวกัน ซึ่งทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอยู่ จากนั้นทั้ง 2 คน ไม่ขึ้นรถมาแล้ว ตนจึงได้ออกรถเพื่อไปรับผู้โดยสารคนใหม่
ตนขับรถออกมาสักพัก และได้รับผู้โดยสารที่กำลังจะไปพระราม 2 ก็กดมิเตอร์ตามปกติ หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที จึงมีโทรศัพท์โทรมา ตนเห็นว่าโทรศัพท์วางอยู่ใต้เบาะหลัง ตนเองก็ได้รับสายทันที และได้เจรจาว่ากำลังจะพาผู้โดยสารไปส่งที่เซ็นทรัลพระราม 2 ผู้หญิงบอกว่า "มึงจะคืนโทรศัพท์ไหม" ตนคิดว่า การที่คุยกับตน ก็ควรพูดดี ๆ เพราะตนยินดีที่จะคืนให้อยู่แล้ว เพราะถ้าตนไม่คืน คงไม่รับโทรศัพท์ และตนไม่มีเจตนาที่จะเอาของใคร ตนยอมรับว่าไม่พอใจ จึงตอบไปว่า "กูไม่ใช่ขี้ข้ามึงนะ ถ้ามีปัญหามากจะปิดโทรศัพท์และไม่คืน" ซึ่งพูดไปเพราะโกรธที่ผู้หญิงพูดมาไม่ดีก่อน
จากนั้นตนก็ปิดโทรศัพท์ และเปิดเครื่องเมื่อถึงสถานีตำรวจภูธรกระทุ่มแบน เจ้าของโทรศัพท์ที่เป็นทอมก็โทรศัพท์มาหาตน ตนจึงบอกว่าไม่พอใจที่แฟนของทอมพูดจาไม่ดี และท่าทางฝั่งของทอมไม่พอใจตน แต่ให้ทั้งคู่มารับโทรศัพท์คืนที่ซอยสุคนธวิท 20 ที่เดิม โดยที่ไม่ต้องให้แฟนของทอมมา เพราะตนเกรงว่าจะเกิดอารมณ์โมโหอีก จากนั้นทอมก็ลงมารับโทรศัพท์คืน โดยที่มีสายตรวจจักรยานยนต์ และนายตำรวจ 2 คน รับรู้ว่าคืนโทรศัพท์แล้ว ซึ่งตนเองก็คิดว่าทุกอย่างคงจะจบแล้ว ตนเองจึงได้ขับรถแท็กซี่เพื่อวิ่งหาผู้โดยสารต่อไป แต่ทอมและผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังมีการตามมาก่อกวน
โดยเมื่อตนรับผู้โดยสาร ทอมและผู้หญิงคนดังกล่าว ก็ได้ขับรถยนต์ตามมา ตนเห็นว่าจะไม่ปลอดภัยจึงได้จอดรถ และเดินลงจากรถเจรจากับทอม แต่ผู้หญิงเมื่อเดินลงมาก็มาทุบรถและกระชากรถแท็กซี่ของตน และกล่าวหาว่าเป็นขโมยให้ผู้โดยสารฟัง ตนเองเห็นว่าผู้หญิงไม่ปกติ จึงเลือกที่จะหนีและไม่ปะทะ โดยขณะที่ตนค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไป ผู้หญิงคนนี้ก็จับที่เปิดประตูรถ และเคาะกระจกหลายครั้ง จนผู้หญิงต้านความเร็วไม่ได้ จึงได้ปล่อยและล้มตัวลง ตนเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว จึงได้ให้ผู้โดยสารทั้ง 5 คน ลงจากรถ และไม่ได้คิดเงิน และขับรถเข้ามาที่ สภ.กระทุ่มแบน
นอกจากนี้ รถแท็กซี่ก็เป็นทรัพย์สินของตน ตนจะแจ้งความว่าทำร้ายทรัพย์สินของตนก็ได้ แต่ยังไม่ทำ เพราะตนถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับอาชีพขับรถแท็กซี่ และยอมรับว่า ตนพูดว่าถ้ามีปืนหรือมีอาวุธจะยิงกับผู้หญิงจริง แต่ที่พูดออกไปเพราะอารมณ์ จึงเกิดเป็นประเด็นดังกล่าว