กรณีคนร้ายสวมไอ้โม่งสีดำคลุมศีรษะและปกปิดใบหน้า บุกเข้าไปที่ร้านทองกีรติ (แม่ทองพูล) ชั้น 2 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาขอนแก่น ก่อนจะใช้อาวุธปืนใส่กระสุนขนาด 9 มม. ข่มขู่พนักงานเพื่อชิงสร้อยข้อมือทองคำเส้นละ 3 บาท จำนวน 8 เส้น รวม 24 บาท มูลค่ารวมประมาณ 720,000 บาท และรีบหลบหนีไปทันที ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเวลาประมาณ 19.18 น. ของวันที่ 20 พ.ย.64 ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 25 พ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานว่าชุดสืบสวนรวบรวมเบาะแสและพยานหลักฐาน ก่อนจะควบคุมตัววัยรุ่นชายคนหนึ่ง ทราบชื่อว่านายแม็กช์ อายุ 17 ปี ชาว จ.สกลนคร ให้การรับสารภาพอ้างว่า เป็นผู้ก่อเหตุชิงทองจริง เนื่องจากติดพนันออนไลน์ มีเงินไม่พอใช้เหลือติดกระเป๋าเพียง 500 บาท จึงวางแผนก่อเหตุในวันที่ 20 พ.ย.64
แต่ก่อนที่จะก่อเหตุ ได้วางแผนเช่าห้องพักแบบรายวันในพื้นที่ใกล้เคียงห้างฯ ในช่วงวันที่ 16-17 พ.ย.64 และเตรียมลงมือก่อเหตุในวันที่ 18-19 พ.ย.64 แต่ด้วยในตัวเมืองมีกล้องวงจรปิดค่อนข้างมาก ประกอบกับทำเลที่ตั้งของห้องพักไม่เอื้ออำนวย จึงได้เลื่อนไปก่อนเหตุในช่วงค่ำของวันที่ 20 พ.ย.64
หลังจากก่อเหตุได้คืนกุญแจห้องเช่า และรีบออกจากห้องในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 21 พ.ย.64 เพื่อเดินทางไปที่สถานีขนส่งขอนแก่นกลับเข้ากรุงเทพ เมื่อถึงปลายทางได้ไปพักอาศัยกับญาติ ๆ ในอำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี ก่อนจะเดินทางหลบหนีต่อไปยังจ.ชลบุรี อ้างว่าไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ และยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ก่อนจะถูกชุดสืบสวนติดตามตัวจากสัญญาณของโทรศัพท์มือถือ และถูกจับกุมได้ในที่สุด
เวลา 14.30 น. ตำรวจได้คุมตัวนายแม็กช์ มาที่ตำรวจภูธรภาค 4 ซึ่งมีการปิดบังใบหน้าเอาไว้ เนื่องจากผู้ต้องหายังเป็นเยาวชน จากนั้นนำตัวขึ้นไปสอบปากคำที่ชั้น 4 เป็นการสอบปากคำอย่างละเอียด รวมถึงพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่ถูกเผาทำลาย เจ้าหน้าที่จะสอบปากคำต่อไป เบื้องต้นยังไม่มีการทำแผน เนื่องจากเป็นเยาวชนแต่จะต้องพาผู้ต้องหาไปชี้บางจุดเพื่อประกอบสำนวน สำหรับแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ นายแม็กช์อ้างว่าเรียนแบบจากข่าวที่นำเสนอ และดูจากวิธีการในอินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้อาวุธปืนกระทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็น หรือจำหน้าได้ โดยมีอาวุธและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองมิได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ
ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่หอพักดังกล่าว ในเขตตัวเมืองขอนแก่น พบเป็นหอพักรายวัน จำนวน 5 ชั้น อยู่ห่างจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาขอนแก่น เพียง 2 กิโลเมตร แต่หากใช้เส้นทางรัด ผ่านสถานีรถไฟขอนแก่น ทะลุไปหอพัก จะเหลือระยะทางไม่ถึง 700 เมตรเท่านั้น ซึ่งผู้ต้องหาได้เข้ามาเปิดห้องพัก ในระหว่างวันที่ 16-21 พ.ย.64
ทีมข่าวสังเกตว่า บริเวณด้านหลังหอพักดังกล่าว มีต้นมะยมความสูงประมาณ 6 เมตร และใกล้กับต้นมะยมจะมีขอบรั้วของหอพัก เชื่อมกับที่พักเท้าชั้น 1 และมีหน้าต่างกระจกเปิดทิ้งเอาไว้ ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นจุดที่ผู้ต้องหา ให้การอ้างว่า หลังก่อเหตุชิงทองได้ปีนต้นไม้ยมเพื่อขึ้นไปบนห้องพัก เนื่องจากไม่อยากให้กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าไปก่อเหตุชิงทอง เมื่อเข้าไปในห้องได้สำเร็จ รุ่งเช้าของอีกวันก็รีบเช็กเอาท์ออกไปทันที
นางสาวสุขสันต์ (นามสมมติ) เจ้าของหอพัก เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 16 พ.ย.64 มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเข้ามาเปิดห้องแบบรายวัน อ้างว่ามาทำธุระ 4 วัน และจะเช็กเอาท์ออกในวันที่ 19 พ.ย.64 พร้อมกับจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าวันละ 350 บาท พักอยู่ห้องหมายเลข 102 แต่เมื่อใกล้วันครบกำหนดขอเช่าเพิ่มอีก 1 คืน พร้อมกับเปลี่ยนห้องพักเป็น 101 อ้างว่าอยากอยู่ห้องที่ใกล้ ๆ หน้าต่าง ตอนนั้นตนก็ไม่ได้เอะใจ แต่สังเกตว่าเด็กวัยรุ่นคนนี้เป็นคนสูบบุหรี่จัดมาก ๆ จึงเลือกที่จะให้อยู่ใกล้หน้าต่าง
กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจากกล้องวงจรปิด พบว่าผู้ก่อเหตุได้หลบหนีในละแวกหอพักของตน จากนั้นได้ตรวจสอบบริเวณใต้ต้นมะยม ปรากฏว่าเจอสร้อยข้อมือ จำนวน 3 บาท ตกหล่นอยู่ใต้ต้นมะยม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้ขอหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน ชื่อ-สกุล พร้อมด้วยช่องทางการติดต่อของผู้ที่เข้าพัก ทั้งแบบรายวันและรายเดือน เพื่อตรวจสอบทั้งหมด
จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น (21 พ.ย.64) ตนไม่รู้ว่านายแม็กช์ ออกจากห้องเช่าไปตอนไหน เพราะเวลา 09.00 น. มาที่เคาน์เตอร์ ก็เห็นกุญแจวางเอาไว้แล้ว จึงคิดว่าคงรีบเช็กเอาท์ออกไปก่อนเวลา หลังจากนั้นตนก็ปล่อยเวลาผ่านไป 1 คืน ในเช้าวันที่ 22 พ.ย.64 ขึ้นไปทำความสะอาดห้อง แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง สังเกตความผิดปกติ มีดอกหญ้าหล่นอยู่บนพื้นห้อง ติดอยู่ปลายเตียง และอยู่ในผ้าเช็ดตัว ในห้องมีลักษณะของรอยรองเท้าที่เหยียบดินติดอยู่บนพื้น ถ้าคนส่วนใหญ่เดินเข้าออกด้านหน้าหอพัก จะไม่มีรอยดินแบบนี้ จึงเอะใจมองออกไปที่ระเบียง และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาตรวจสอบ
โดยเจ้าหน้าที่ไปพบรอยเท้าเหมือนกับในห้องที่ตนทำความสะอาด อยู่บริเวณที่พักเท้าชั้น 1 และรอยมือจับบริเวณขอบหน้าต่างกระจก จึงเก็บหลักฐาน พร้อมกับขอหมายเลขโทรศัพท์และบัตรประจำตัวประชาชนของผู้เช่าห้องดังกล่าวไปตรวจสอบ จากนั้นไอดี LINE ปรากฏขึ้นมาก็พบว่าเจ้าของบัญชีนี้มีลักษณะตรงกับคนร้าย จึงได้นำไปเทียบเคียงกับภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านทอง ซึ่งจุดที่ตรงกันมากที่สุดคือรองเท้าที่ใช้ในวันก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ติดตามพิกัดแกะรอยจากเบอร์มือถือพบว่าในระหว่างวันที่ 16-21 พ.ย. สัญญาณมือถืออยู่ในที่พื้นที่ขอนแก่นจริง จากนั้นก็พบว่าได้เดินทางไปที่จังหวัดชลบุรี ตำรวจจึงได้เข้าไปทำการจับกุมตัว พร้อมกับของกลางและนำตัวมาที่ขอนแก่น
"เหตุผลที่ต้องการชี้เบาะแส ก็เพราะคาดไม่ถึงเด็กอายุแค่ 17 ปี จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการชิงทอง เขาไม่มีพฤติกรรมความรุนแรงว่าจะไปก่อเหตุเลย แต่เมื่อหลักฐานทุกอย่างชี้ชัด และทิ้งหลักฐานเอาไว้ภายในหอพัก ค่อนข้างที่จะเชื่อได้ว่าเด็กคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชิงทอง เพราะช่วงที่เขาอาศัยอยู่ที่หอพัก ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกไปไหน แต่จะชอบไปยืนมองอยู่ที่หน้าต่างจุดปีนเข้าไปในห้อง และก่อนที่เขาจะจ่ายเงินเขาหลุดปากถามว่า หอพักอยู่ใกล้เซ็นทรัลขอนแก่นไหม" เจ้าของหอพัก กล่าวให้ฟัง