คลิปเหตุการณ์ที่ถูกไลฟ์เผยแพร่ในเฟซบุ๊กเพจ ชื่อ “ชมรมคนเลี้ยงผี-Ghost club” ซึ่งมีผู้ติดตามถึง 1 ล้านบัญชีผู้ใช้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2564 โดยมีการเขียนข้อความชื่อคลิปนี้ว่า “หลวงพี่โดนคุณไสยมา 20 ปี กินเนื้อกินหนัง กินกระดูก กินเอ็น ทำให้ทนทุกข์ทรมาน (ดูให้จบคับคลิปนี้ น่ากลัว)”
เนื้อหาภายในคลิปจะเป็นหมอผีรายหนึ่ง เรียกตัวเองว่า “อาจารย์ขุนกวี ศรีสยาม” เป็นอาจารย์แก้คุณไสยชื่อดังใน จ.ราชบุรี กำลังทำพิธีไล่ผีออกจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่เดินทางมาจาก จ.นครราชสีมา บวชมาแล้ว 4 ปี แต่โดนคุณไสยมาตั้งแต่เป็นฆราวาส รวมแล้วประมาณ 20 ปี
ทั้งนี้ ในคลิปนำเทียนที่จุดไฟลุกโชนมาจ่อที่บริเวณศีรษะของหลวงพี่วนไปวนมาในระยะที่ใกล้มาก างช่วงที่เปลวไฟโดนหนีศีรษะ จนทำให้หนังศีรษะมีรอยควันดำ แล้วก็เอาเทียนที่มีเปลวไฟมาวางไว้บนหน้าผาก มือยังคงเอามีดกริชจ่อศีรษะไว้ พร้อมกับท่องบทสวด “เวสสะ พุทสะ” จากนั้นหลวงพี่ก็ตัวสั่นขาสั่น ไม่รู้ว่าเพราะโดนของหรือเพราะความร้อนจากเปลวไฟ ผ่านไปประมาณ 15 นาที หลวงพี่ก็เริ่มหมดแรง นอนแน่นิ่งไป
ล่าสุด วันที่ 7 ธันวาคม 2564 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังสำนักของ นายขุนกวี ชื่อว่า สำนักวิมารอสูร ตั้งอยู่ที่หมู่ 7 ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี เวลาประมาณ 12.00 น. นายขุนกวีกลับมาที่บ้าน เมื่อลงจากรถก็เดินมาปิดประตูรั้วทันที พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปนักข่าว จึงพยายามถามว่าอยากพูดอะไรเกี่ยวกับคลิปทำพิธีแก้คุณไสยให้พระสงฆ์บ้างไหม เจ้าตัวก็ตอบกลับด้วยท่าทางโกรธมาก แล้วตะคอกใส่นักข่าวว่า "อย่ามาเล่นข่าวกับกูนะ รู้เปล่า เชิญไปหาข่าวที่อื่นนู้น กูไม่คุยเหี้-อะไรทั้งนั้น ไปดูในเพจ กูบอกไว้หมดแล้ว มึงอย่าเอาข่าวกูไปขาย เข้าใจนะ มึงไม่ต้องถามเหี้-อะไรทั้งนั้นแหละ ไปถามพระนู้น เขามาหากูเอง เพราะเขาเดือดร้อน แต่มึงเสือ-ไปเล่นข่าวเขา แล้วเขาก็โดนอะไรบ้าง มึงไม่คิดเหรอไอนักข่าว มึงเข้าใจไหม"
จากนั้น ทีมข่าวพยายามถามว่าพระสงฆ์ที่มาทำพิธีในคลิปเดินทางมาจากวัดไหน แต่นายขุนกวีไม่บอก จากนั้นก็พยายามที่จะไล่ทีมข่าว พร้อมกับชี้ให้ดูสุนัขที่เลี้ยงไว้ 2 ตัว บอกว่า "ถ้ามึงเข้ามา มึงโดนหมากูกัดแน่ เชิญ ไม่ต้อมารอ กูไม่อยากดังหรอกไอสั-ว์ กูดังอยู่แล้ว เข้าใจยัง"
ด้านแม่ของนายขุนกวีบอกว่าวันนี้นายขุนกวีไม่อยู่บ้าน ออกไปทำธุระ และปกติก็ไม่ได้รับงานแก้คุณไสยทุกวันด้วย จะเปิดสำนักแค่วันเสาร์เท่านั้น จากนั้นแม่ของนายขุนกวี ให้ทีมข่าวคุยโทรศัพท์กับน้องชาย ทีมข่าวพยายามขอสัมภาษณ์นายขุนกวี แต่ปลายสายปฎิเสธและบอกว่าให้โทรไปติดต่อกับนายขุนกวีตามเบอร์โทรหน้าเพจเฟซบุ๊กเอง ก่อนที่จะไล่ให้ทีมข่าวรีบกลับไป บอกว่าคุยไม่รู้เรื่อง และพระที่มารักษาก็ไม่ได้เกี่ยวกับทีมข่าว ไม่ได้เป็นพ่อ พร้อมแนะนำให้ทีมข่าวไปถามพระเอาเอง แต่ไม่ยอมบอกข้อมูลว่าพระรูปนี้อยู่วัดไหน
นายสุธีร์ สมสิบ อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านวังเย็น ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี เปิดใจว่า นายขุนกวี มีการตั้งสำนักอยู่ในพื้นที่หมู่บ้านมาประมาณ 2 ปี ก็ถือว่ามาพร้อมกับสถานการณ์โควิด-19 รอบที่ 2 พอดี ตอนแรกตนก็พยายามเฝ้าระวังเรื่องมาตรการป้องกันด้วยการประสานงานไปยังหน่วยงานราชการทั้ง รพ.สต. เจ้าหน้าที่ อสม. กรมการปกครองอำเภอ เพื่อเข้าตรวจสอบและกำชับให้มีการจำกัดจำนวนคนตามที่กำหนด มีการวัดอุณหภูมิ ใส่หน้ากากอนามัย ลงทะเบียนชื่อและเวลาเข้า-ออกตลอด และมีเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ทุกวันเสาร์ที่มีกิจกรรม
แต่ด้วยความที่เวลาผ่านไป คนที่เดินทางมายังสำนักส่วนใหญ่เป็นคนต่างพื้นที่ต่างจังหวัด ชาวบ้านก็เลยร้องเรียนเข้ามาเยอะมากว่ากลัวจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายในสำนัก แล้วจะมีการกระจายออกมายังชุมชน รวมถึงคลิปพิธีกรรมที่ดูไม่เหมาะสม และการจอดรถริมถนนที่ขวางทางจราจร แต่ยังไม่มีการร้องเรียนเรื่องโดนหลอกหรือต้มตุ๋น ในฐานะผู้นำชุมชนก็ต้องมีการเข้าไปพูดคุยกับนายขุนกวีเรื่องของมาตรการป้องกันโควิด-19 ตั้งแต่มีการเปิดสำนักที่นี่มาตลอด 2 ปี ไม่เคยมีการทำหนังสือขออนุญาตจัดกิจกรรม แม้ตนจะตักเตือนไปแล้ว ซึ่งเขาก็รับปาก แต่ไม่เคยทำสักที อ้างว่าสามารถจัดคนให้ไม่แออัดได้ ด้วยการใช้ระบบหมุนเวียน จัดคิว ใครที่ยังไม่ถึงคิวก็รอด้านนอก ใครที่เสร็จแล้วก็กลับ
ตนยืนยันว่า จริงอยู่ที่ทางสำนักมีการแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่มแก่ชาวบ้านที่เดือดร้อนเป็นประจำ แต่เรื่องของความปลอดภัยของชาวบ้านก็ต้องมาเป็นอันดับแรก จึงตั้งใจไวว่าจะประสานให้ปกครองและ รพ.สต. มีการสุ่มลงพื้นที่ตรวจสอบกับสักนักฯ โดยไม่แจ้งล่วงหน้าด้วย ซึ่งหากไม่ถูกต้องตามมาตรการก็มีโอกาสที่จะสั่งระงับกิจกรรม
นางจินตนา ชุติภาพรวนิช อายุ 58 ปี ลูกศิษย์ อ.ขุนกวี เล่าว่า ลูกชายของตนชื่อโจอั้น อายุ 38 ปี ลูกครึ่งจีน โปตุเกส และไทย เป็นคนนิสัยดี ขอบเล่นกีฬาเตะฟุตบอล จนกระทั่งวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ลูกชายเตะฟุตบอลเลิกประมาณ 22.00 น. ซึ่งกำลังจะไปส่งเพื่อนเท้าลูกชายแตะพื้นลูกชายวูบล้มลงไป ตอนนั้นลูกชายตนเล่นบอลหนัก 2 วันติด เพื่อนของลูกชายคิดว่าเป็นลมธรรมดา จึงจับตัวลูกชายตั้งขึ้น จนลูกชายกระตุกเกร็ง และตรงนั้นเป็นทางสามแพร่ง เพื่อนจึงนำลูกชายส่งโรงพยาบาล ปั๊มหัวใจลูกชายอยู่ประมาณ 10 นาที หัวใจของลูกชายหยุดเต้นแล้วตอนที่ไปถึงโรงพยาบาล ต่อมา 1 เดือน ลูกไม่มีอาการแทรกซ้อน แต่หมอวินิฉัยแล้วว่าลูกเป็นอัมพาต ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องเจาะคอ ใส่สายให้อาหาร
ตนจึงได้พาลูกไปปฏิบัตธรรม เพื่อหวังจะรักษาโดยวิธีทางธรรมชาติ ต่อมาช่วงต้นปี 2564 ตนได้เจอเพจเฟซบุ๊กของ อ.ขุนกวี และคิดว่าทำไมเขาถึงรักษาแบบนี้ จึงไล่ตามคลิปดูไปเรื่อย ๆ ผ่านไปหลายเคสน่าสนใจ เพราะ อ.ขุนกวี ไม่ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และตอนนั้นตนก็ไม่มีเงิน จึงตัดสินใจ โทรศัพท์ติดต่อ อ.ขุนกวี เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่ง อ.ขุนกวี ให้คิวนัดตนและลูกไปพบในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2564 ตนและลูกจึงเดินทางไป
อ.ขุนกวี ทำพิธีสวดมนต์ไล่ผี ขอให้ไปเกิดใหม่ ตนสัมผัสได้ว่าก่อนที่ลูกของตนจะมารักษา มีอาการนอนไม่หลับมา 2 วัน สายตาแข็งกร้าว โดยก่อนหน้าลูกเกร็งตามตัว หลังทำพิธีนั้นลูกชายเปลี่ยนไป ขบัยปากจะคุยกับ อ.ขุนกวี แววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน สีหน้าดีขึ้น สีผิวเปลี่ยนกลับมาปกติ ลูกดีขึ้น หลังจากที่พากันกลับบ้านลูกหลับสนิท และตนก็หลับสนิทโดยที่ไม่ต้องห่วงลูก โดยที่ อ.ขุนกวี ไม่คิดค่าใช้จ่าย ตนเตรียมไปเพียงแค่ข้าวสาร 5 กิโลกรัม และน้ำเปล่า 1 แพ็ค ตามกฎของอาจารย์ขุน เพื่อเอาไปแจกชาวบ้าน
ในขณะที่ ทนายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความชื่อดัง บอกกับเราว่าการที่นายขุนกวีด่าทอนักข่าวซึ่งมีคำว่า "ไอสั-ว์" และ "เหี้-" นั้น ศาลฎีกาพิพากษาไว้ว่าเป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการที่พูดข่มขู่ว่าจะให้สุนัขไล่กัดนั้น หากยังไม่มีการลงมือกระทำความผิด และผู้ถูกข่มขู่ไม่ได้รู้สึกได้รับผลกระทบทางจิตใจ ก็ยังไม่มีความผิดทางกฎหมาย นอกจากนี้ขณะที่นายขุนกวีด่าทอนักข่าว และทำพิธีกรรมกับพระสงฆ์และชาวบ้านตามที่ปรากฏในคลิปต่าง ๆ ไม่มีการสวมหน้ากากอนามัย จึงอาจจะโดนความผิดตามประกาศของ ศบค. และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ เพราะถือว่าเป็นผู้ประพฤติตนให้เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโรค ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
ในขณะที่พระสงฆ์ในคลิปที่มาให้ นายขุนกวีซึ่งเป็นฆราวาสทำพิธีแก้คุณไสยให้นั้น อาจไม่ผิด พ.ร.บ.สงฆ์ แต่อาจจะผิดในพระวินัย เพราะฉะนั้นหากเป็นพระจริงสำนักพุทธควรมีการตรวจสอบ
นายหาญ รักษาจิตต์ หรือเณรแอ บอกว่า พระรูปดังกล่าวที่ถูกคุณไสย เรียกว่าถูกมนตร์ดำเข้าร่าง ซึ่งคุณไสยแบบนี้ มักจะเกิดจาการ กินกระดูกผีและถูกน้ำมันพราย โดยส่วนตัวเขื่อว่า พระรูปนี้ถูกคุณไสยมาตั้งแต่ก่อนจะมาบวชเป็นพระ พอมาบวชเป็นพระก็มีการสวดมนตร์ภาวนา จนทำให้คุณไสยที่อยู่ในตัวเกิดความขลังขึ้นมา และทำให้ร่างกายของพระรูปดังกล่าวรับความเจ็บปวดทรมาน เปรียบเสมือนไฟที่ติดอยู่แล้วถูกเติมน้ำมันให้ไฟลุกแรงขึ้น
ส่วนเรื่องการทำพิธีในคลิปก็ถือว่าทำได้ แต่ยังทำไม่ถูกวิธี ซึ่งอาการแบบนี้ถ้าจะให้หายขาดต้อง ทำพิธีนั่งเทียนระเบิดหุ่นพญายม ถึงจะหายขาด สำหรับการทำพิธีที่คนในคลิปจับหัวพระก็ถือว่าทำได้โดยไม่ผิด เพราะตัวพระอนุญาตให้ทำ เนื่องจากพระรูปดังกล่าวอยากจะหาย แล้วเคสนี้ก็ไม่ได้แปลก ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ตัวเองพบเห็นมีหลายเคสที่มีพระถูกคุณไสยแบบนี้
อ.จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการศาสนา ให้ความคิดเห็นว่า หาก อ.ขุนกวี ไม่ได้ไปเอาเงินทองพระสงฆ์รูปนั้นก็ไม่มีปัญหา ตามสบาย ตามศรัทธา ใครจะเชื่อก็แล้วแต่ความคิดของคนนั้น แต่ถ้ามีการรับเงินทอง อาจจะต้องระวังในเรื่องกฎหมาย เกี่ยวกับเรื่องการรักษาพยาบาล ทั้งนี้ คงต้องไปถามนักกฎหมายในเรื่องของการที่บอกว่าคือการรักษา โดยเป็นแพทย์ทางเลือก วิธีการรักษาดังในคลิปที่เห็นอาจจะต้องระวังตรวจสอบทางกฎหมาย
หากทำโดยไม่คิดค่าใช่จ่าย เพียงร่วมบริจาค ข้าวสารอาหารแห้ง ก็ถือว่าเป็นทางเลือกของผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยสมัครใจรักษาด้วยวิธีนี้ก็ตามใจ ส่วนตัวมองว่าหากเป็นพระสงฆ์และมีปัญหาด้านสุขภาพ ควรไปพบแพทย์ก่อน ทั้งแพทย์อายุกรรมก็ดี หรือจิตแพทย์ก็ดี จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หมายความว่าในทางการแพทย์ไม่สามารถรักษาได้แล้ว ถึงมาใช้แพทย์ทางเลือกเช่นนี้ แต่หากพระสงฆ์อยากรักษากับแพทย์ทางเลือกเลย ตนมองว่าไม่เหมาะสม ควรเลือกเป็นทางสุดท้ายที่จะรักษา ทั้งนี้ ถือเป็นสิทธิ์ของผู้ที่เข้ารับการรักษา ตราบใจที่ไม่ถูกหลอกลวง ก็ไม่มีปัญหา
สุดท้ายอยากฝากหากไปรักษากับแพทย์ทางเลือกต้องดูว่าเป็นแบบไหน มีใบอนุญาตหรือไม่ รักษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การกุศล หรือต้องเสียค่าใช่จ่ายจำนวนเท่าไร หลอกลวงหรือไม่หลอกลวง และอยู่ที่ดุลพินิจของเรา ส่วนใครที่มีอาการดังในคลิป แนะนำให้ไปพบอายุรแพทย์ หรือจิตแพทย์ และให้แพทย์ทางเลือกเป็นทางสุดท้าย