คลิปเหตุการณ์ที่มีการเผยแพร่คลิปในเฟซบุ๊ก เป็นหมอผีรายหนึ่ง เรียกตัวเองว่า “อาจารย์ขุนกวี ศรีสยาม” เป็นอาจารย์แก้คุณไสยชื่อดังใน จ.ราชบุรี กำลังทำพิธีไล่ผีออกจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่เดินทางมาจาก จ.นครราชสีมา บวชมาแล้ว 4 ปี แต่โดนคุณไสยมาตั้งแต่เป็นฆราวาส รวมแล้วประมาณ 20 ปี พร้อมกับท่องบทสวด จากนั้นหลวงพี่ก็ตัวสั่นขาสั่น ผ่านไปประมาณ 15 นาที หลวงพี่ก็เริ่มหมดแรง นอนแน่นิ่งไปคล้ายผีออกนั้น
วันที่ 8 ธันวาคม 2564 หน่วยงานจะเข้าไปตรวจสอบที่สำนักวิมารอสูร ของนายขุนกวี ศรีสยาม เกี่ยวกับการทำพิธีแก้คุณไสยให้หลวงพี่รูปหนึ่ง และการด่าทอข่มขู่ผู้สื่อข่าวที่เดินทางไปขอสอบถามข้อเท็จจริงเมื่อวานนี้ รวมถึงความกังวลของชาวบ้านในละแวกเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิด-19
เวลา 11.30 น. ทีมข่าวอมรินทร์พร้อมเจ้าหน้าที่ประมาณ 10 นาย นำทีมโดย นายทวีศักดิ์ กฤษณพิพัฒน์ ปลัดอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.วีระพัฒน์ เกตุษา รอง ผกก.สส.สภ.บางแพ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางแพ รวมถึงผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านวังเย็น ต.วังเย็น อ.บางแพ จ.ราชบุรี เดินทางไปถึงสำนัก นายขุนกวีเดินเข้ามากอดผู้สื่อข่าวอมรินทร์
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็ได้มีการตั้งโต๊ะเพื่อสอบถามรายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมดกับนายขุนกวีทุกประเด็น ประเด็นแรกที่นายขุนกวี ขอชี้แจงคือสาเหตุที่ไล่นักข่าวและขู่ว่าหากเข้าไปจะให้หมากัดนั้น เจตนารมณ์ไม่ได้จะปล่อยให้หมากัด แค่กลัวว่าหากให้นักข่าวเข้าไปแล้วจะโดนหมากัด เพราะหมาพันธุ์พิตบูล วันนี้ไม่ได้ปล่อยออกมาจากในบ้าน คำพูดคำจาที่ดูหยาบคายเพราะเป็นชาวไร่ชาวสวน เป็นสไตล์คำพูดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตประจำวันหรือขณะทำพิธี
ประเด็นที่ 2 คือหลวงพี่ที่เดินทางให้ตนทำพิธีแก้คุณไสย วันที่ 4 ธันวาคม 2564 หลวงพี่เป็นคิวที่ 30 ของวัน ถือเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่ติดต่อมาทางโทรศัพท์เหมือนกับเคสอื่น เป็นพระในวัดแห่งหนึ่งที่ จ.นครราชสีมา ไม่ได้มีการรู้จักกันมาก่อน รู้ภายหลังว่าหลวงพี่มีอาการเหมือนมีอะไรบางอย่างมาสิงอยู่ในตัว ในเส้นเอ็น ในกระดูก ทำให้รู้สึกปวดบ่าปวดหลัง เป็นเวลาประมาณ 20 ปี ก่อนจะบวชเป็นพระไปหาหมอมาแล้วหลายครั้งก็ไม่หาย แต่ท่องบทสวดที่ตนท่องในคลิปที่ว่า "เวส สะ พุ สะ" เป็นคาถาหัวใจท้าวเวสสุวรรณ อาการก็ดีขึ้น ก็เลยตัดสินใจโทรมาหาตนเพื่อนัดคิว ก่อนหน้านี้เคยมีพระและแม่ชีที่เข้ามาให้ช่วยเหลือก่อนแล้ว 2-3 คน เพียงแค่ไม่มีการถ่ายคลิป และตนไม่เคยเรียกเก็บค่าครูสักบาท
ซึ่งก่อนทำพิธีตนก็ได้มีการขออนุญาตก่อนแล้ว และตัวหลวงพี่เองก็ยินยอม หลังทำพิธีก็ได้มีการกราบขอขมาแล้ว แต่ที่เห็นว่าหลวงพี่สบถคำหยาบออกมานั้น เป็นปฏิกิริยาของการแก้คุณไสย เพราะหลวงพี่มีของไม่ดีอยู่ในร่างกาย การใช้เทียนลนที่หัวและขาของหลวงพี่เป็นการใช้ความร้อนไล่สิ่งไม่ดี ใช้จิตเพ่งเข้าไป ไม่มีความรุนแรง สุดท้ายจากที่หลวงพี่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลายเป็นเดินได้ทันที เพราะฉะนั้นหากใครอยากจะด่า ก็ให้ด่าตน ซึ่งเป็นอาจารย์ อย่าด่าพระที่เป็นลูกศิษย์ตน
ประเด็นที่ 3 ลักษณะการทำพิธี ชี้แจงว่าตัวเองเป็นคน จ.ราชบุรี ตั้งแต่กำเนิด มีย่าเป็นร่างทรงและมีครูบาอาจารย์หลายท่านที่ถ่ายทอดวิชาให้ตน เสียชีวิตไปหมดแล้ว ตนก็พยายามเก็บเกี่ยววิชาเหล่านั้น เรียกมันว่า "วิมารอสูร" และบทสวดที่ได้ยืนทั้งหมดก็คือบทสวดวิมารอสูร แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปทำสวนอยู่ จ.ปราจีนบุรี แล้วเมื่อ 3 ปีก่อน ตนไปอยู่หมู่บ้านแถววัดเจียระดับ กรุงเทพฯ แล้วก็ทำสวนทำไร่ อาศัยนอนพักอยู่ในวัด นึกอยากลองทำพิธีแก้คุณไสยให้ชาวบ้าน ตอนนั้นก็มีคนมาหา 1-2 คน แต่ยังไม่มีชื่อเสียง ตนก็เลยเงยหน้ามองฟ้า แล้วเอ่ยปากบอกกับท้าวเวสสุวรรณว่า "ถ้าเกิดตนดัง จะสร้างรูปปั้นท่าน แต่จะต้องดังในสไตล์ของตัวเองคือยังกินเหล้าได้ มีเมียเยอะได้ พูดจาหยาบคายได้" แล้วสุดท้ายดวงชะตาก็พัดพาตนให้กลับมาอยู่ที่บ้านแห่งนี้เพื่อเปิดสำนักฯ แล้วก็โด่งดังขึ้นมาจริง รวมปัจจุบันตนเปิดสำนักมาประมาณ 3 ปีกว่าแล้ว ตั้งแต่ 2561-2564
สิ่งที่ทำได้คือแก้คุณไสยในเชิงเน้นรักษา ทำเสน่ห์เมตตา เสริมดวงชะตา และไม่มีการเก็บค่าครู แต่จะขอเป็นข้าวสารอาหารแห้ง น้ำดื่ม เพื่อที่ตนจะเอาไปบริจาคให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน แต่ถ้าหากใครต้องการจะให้เงินจริง ๆ ตนก็จะให้หยอดตู้บริจาค แล้วจะนำเงินส่วนนี้ไปสร้างองค์ท้าวเวสสุวรรณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เคยเอ่ยปากไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ความสูง 100 เมตร บนพื้นที่ 5 ไร่ เช่นเดียวกับเครื่องลางของขลังที่ตนเปิดให้เช่าบูชา เงินที่ได้มาก็เอาทำตรงนี้เหมือนกัน ไม่มีการบังคับซื้อใด ๆ ตนมองว่าถ้าสร้างเสร็จแล้วมันจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจใน อ.บางแพ จ.ราชบุรี ให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมากราบไหว้
พร้อมกับยืนยันว่าตนเองมิใช่พระ แต่เป็นอสูรที่นุ่งดำห่มดำ และสำนักแห่งนี้ก็ชื่อชัดเจนอยู่แล้วว่าสำนักวิมารอสูร และไม่ใช่มนตร์ดำ เพราะตนนับถือความดีไม่เหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องงดเหล้า ไม่มีเป้าหมายไปสู่นิพพาน ขอแค่ไปอยู่บนวิมาน บนสวรรค์สักชั้นหนึ่งที่สามารถดื่มเหล้าได้และมีนางฟ้า แค่นี้ก็พอแล้ว
ประเด็นที่ 4 มาตรการป้องกันโควิด-19 ทุกคนที่เดินทางมาร่วมพิธีนั้นจะมีการคัดกรองด้วยการโทรนัดคิว ลงทะเบียนในแบบฟอร์มของทางสำนักฯ มีหลักฐานการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 2 เข็ม ระบุพื้นที่ที่เดินทางมา ต้องวัดอุณหภูมิ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ต้องมีเจลล้างมือแอลกอฮอล์ แต่ที่เห็นว่าบางช่วงที่ตัวเองไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยขณะทำพิธีนั้น ยอมรับว่าเป็นความตั้งใจของตัวเอง เพราะรู้สึกว่าหากสวมหน้ากากอนามัยทำพิธีแล้ว พลังที่ส่งออกไปมันไม่สุด จึงคิดว่าถ้าตนจะติดโควิด-19 แล้วตาย ตนก็จะยอมตายเพื่อที่จะได้ช่วยคน แต่ส่วนตัวก็ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนกา 2 เข็มแล้ว และกำลังหาวัคซีนโมเดอร์นาเพื่อบูสเข็ม 3 อยู่
หลังจากมีการชี้แจงเสร็จ นายขุนกวีกล่าวคำขอโทษกับนักข่าวอมรินทร์อย่างเป็นทางการว่า "น้อง กูขอโทษมึงแล้วกันนะอีห่- เข้าใจไหม สิ่งที่เกิดขึ้นหน้ารั้วเมื่อวานมันเป็นสไตล์กูอยู่แล้ว ทุกคนโดนกูด่า ไล่ตลอด แต่กูเห็นนักข่าวแล้วกูกลัว เพราะเคยโดนกระแสดราม่าเรื่องทำพิธีตีอวัยวะเพศผู้หญิงเมื่อปีที่แล้ว อันนี้กูยอมรับตามจริงเลย"
ก่อนที่จะบอกว่า "ถ้านักข่าวอมรินทร์ไม่ติดใจ และยังรักตนเหมือนเดิม ตนก็จะรับนับถือเป็นเหมือนคนในครอบครัว" จากนั้นก็ลุกขึ้นมากกอดทีมข่าว บอกว่า "ขอโทษมึงนะอีห่-เอ้ย ขอโทษ มันเป็นสไตล์กู"
นายทวีศักดิ์ กฤษณพิพัฒน์ ปลัดอำเภอบางแพ จ.ราชบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอดส่องดูแล และเข้ามาตรวจสอบมาตรการป้องกันโควิด-19 อยู่ตลอด เห็นว่าช่วงที่มีการแพร่ระบาดหนัก ทางสำนักฯก็ไม่ได้เปิดให้บริการ จึงไม่จำเป็นต้องต้องทำหนังสือขออนุญาต เพราะเพิ่งจะมาเปิดอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้น ปัจจุบันตามมาตรการผ่อนปรน มีการจำกัดจำนวนคนโดยในการจัดกิจกรรมคือ 500 คน แต่ทางสำนักฯ บอกว่าคนที่มาเข้าร่วมมีแค่ 150-300 คนต่อวัน จึงยังไม่ต้องทำหนังสือขออนุญาต บวกกับจากการตรวจสอบในวันนี้ ก็ไม่พบจุดสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส เพราะเห็นว่ามีการจัดเรียงลำดับคิว เก็บข้อมูลในแบบฟอร์มชัดเจน ทั้งชื่อ-สกุล เบอร์โทร พื้นที่ที่เดินทางมา รวมถึงจุดคัดกรองก็มีครบทุกขั้นตอนตามมาตรฐาน จึงสามารถดำเนินกิจกรรมได้ตามเดิม แต่ต้องไม่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
หลังจากนี้จะมีการรายงานผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ทราบและดำเนินการวางมาตรการอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งการคัดกรองคนก่อนเข้าทำพิธีในสำนักฯ และให้ผู้ใหญ่บ้าน, รพ.สต., ตำรวจในพื้นที่ มาสอดส่องดูแลทุกวันที่มีการจัดกิจกรรม ส่วนประเด็นที่จอดรถนั้น หลังจากนี้จะปรึกษากับนายขุนกวีเพื่อหาพื้นที่สำหรับรองรับรถของคนที่จะมาร่วมพิธี อาจจะเป็นพื้นที่ว่างใกล้เคียงสำนักฯ เพราะต้องการให้มีการจัดระบบที่จอดรถ ไม่ให้รบกวนเส้นทางจราจร เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน
ทีมข่าวก็ได้ติดต่อไปยังหลวงพี่ที่ร่วมพิธี ทราบชื่อ พระเมธวัจน ใน จ.นครราชสีมา มีการพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์ต่อหน้าเจ้าหน้าที่และนายขุนกวี บอกว่า อาการป่วยของตนเป็นมาเกือบ 20 ปี ก่อนที่จะบวชเป็นพระ อาการเบื้องต้นคือปวดเนื้อปวดตัว ขา หลัง ปวดไปยันเส้นเอ็นและกระดูก ไปหาหมอที่โรงพยาบาล ไปหาหมอนวดมาแล้วก็ไม่หาย จนกระทั่งเมื่อปี 2560 พ่อมีอาการป่วยด้วยโรคชนิดหนึ่ง ตนก็เลยตัดสินใจบวชพระให้กับพ่อและแม่ เป็นการบวชชั่วคราวแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น แต่พอบวชกลับกลายเป็นว่าอาการปวดมันเริ่มหนักขึ้น ปัจจุบันรวม 4 ปีแล้วที่บวชมา
จนกระทั่งได้มาติดตามคลิปของนายขุนกวี จากเฟซบุ๊กเมื่อต้นปี 2564 ตอนแรกก็ไม่เชื่อว่าจะรักษาให้หายได้จริง แต่คิดไปคิดมาก็มองว่าในเมื่อตัวเองไม่ได้มีความรู้ด้านไสยศาสตร์ก็อย่าเพิ่งไปตัดสิน ช่วงต้นเดือนกันยายน 2564 จึงคิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย ใช้เวลาตัดสินใจอยู่ประมาณ 3 เดือนกว่า จนกระทั่งต้นเดือนธันวาคม 2564 ก็ได้รวบรวมความกล้าไปรักษาในขณะที่ยังครองสมณเพศได้นัดคิวเข้าทำพิธีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยที่ไม่ได้มีการปรึกษาเจ้าอาวาส ยอมรับว่าหลังเข้าพิธีเสร็จ ปัจจุบันรู้สึกว่าตัวโล่ง เบา รู้สึกดีขึ้นแตกต่างจากก่อนหน้านี้มาก
ส่วนกับกระแสในแง่ลบนั้นไม่ขอตอบโต้ แค่อยากจะอธิบายว่าพระก็เหมือนคนคนนึง ถ้าป่วยก็ต้องไปหาหมอ แต่ในเมื่อเราไปหาหมอทางวิทยาศาสตร์แล้วมันไม่หาย การที่มาพึ่งทางไสยศาสตร์ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด การทำพิธีวันนั้น นายขุนกวีก็ขออนุญาตตนแล้ว ส่วนตัวไม่ถือสา เหมือนหมอคนหนึ่งที่ต้องรักษาผู้ป่วย ตนก็ยินดีไม่ว่าจะเป็นลักษณะการทำพิธีหรือการถ่ายทำวิดีโอเพื่อเผยแพร่ เนื่องจากมองว่าเจตนารมณ์เป็นสิ่งที่ดี ไม่คิดค่าครู เป็นการตีแผ่ให้สังคมรู้ว่ายังมีคนดี ๆ แบบนี้อยู่ และควรเก็บรักษานายขุนกวีไว้ด้วยซ้ำ
นายชัยวุฒิ บัวผึ้ง อายุ 52 ปี เล่าว่า ช่วงปีแรก 2561 ที่มีการเปิดสำนักวิมารอสูร จะเป็นลักษณะการทำพิธีเงียบ ๆ คนที่เดินทางมาก็จะเป็นคนต่างถิ่น วันละแค่ 2-3 วัน ทำให้คนในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเขาเปิดสำนักฯ ช่วงปี 2563 ชาวบ้านเริ่มเห็นว่ามีรถของคนต่างพื้นที่มาจอดที่หน้าสำนักฯ บ่อยและเยอะขึ้น ทราบรู้ว่ามีการเข้าทำพิธีเรื่องไสยศาสตร์ แก้คุณไสย เริ่มมีการแจกข้าวสารน้ำดื่มหน้าสำนักฯ ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านบ่อย ๆ และมีการปล่อยคลิปลงเฟซบุ๊กจึงทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
แต่ 100 เปอร์เซ็นต์ของคนที่เข้าไปร่วมพิธีเป็นคนต่างถิ่น เพราะตนก็พยายามถามกับชาวบ้านว่ามีใครเคยเข้าไปทำพิธีบ้างไหม ก็ไม่มีข้อมูลว่ามีคนในหมู่บ้านเข้าร่วม อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่นี่ไม่ได้เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ตนเองก็ไม่ได้เชื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับลบหลู่ ให้เป็นวิจารณญาณของแต่ละคน