กรณีสาวประเภทสองยิงพี่ชายได้รับบาดเจ็บ บริเวณบ้านเลขที่ 11/1 ม.6 บ้านหนองจอก ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี พบรอยเลือดหยดอยู่บนพื้นปูนหน้าบ้าน ส่วนบนเก้าอี้พลาสติกพบปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. ตกอยู่ 1 ปลอก คนเจ็บทราบชื่อ นายต้น หมื่นมี อายุ 32 ปี นอนบาดเจ็บอยู่ที่ลานหน้าบ้าน เนื่องจากถูกน้องชายซึ่งเป็นสาวประเภทสอง ทราบชื่อ นายวริศรา หมื่นมี หรือ เต้ย อายุ 25 ปี ยิงเข้าที่เอวด้านซ้ายทะลุสะโพกซ้าย ก่อนหลบหนีออกไปทางหลังบ้าน
ต่อมาในเวลา 20.00 น. ญาติ ๆ ของผู้ก่อเหตุได้ติดต่อพาตัวนายเต้ย เดินทางมามอบตัวที่ห้องสืบสวน สภ.เมือง จ.สระบุรี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน ได้ทำการตรวจร่างกาย และหาร่องรอยการใช้อาวุธ ตรวจคราบเขม่าดินปืน เพื่อเก็บเป็นหลักฐานในการประกอบสำนวนคดี จากนั้นก็ปล่อยตัวกลับบ้าน
ล่าสุดวันที่ 12 ธ.ค.64 เวลาประมาณ 09.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาเชิญตัวนายเต้ย ผู้ก่อเหตุ ไปสอบปากคำที่โรงพักอีกรอบ ระหว่างนั้นทีมข่าวพยายามถามว่า ก่อเหตุเพราะอะไร และอยากชี้แจงอะไรหรือไม่ แต่นายเต้ยเลือกที่จะไม่ตอบ แล้วก็ขึ้นรถ พร้อมปิดประตูใส่นักข่าว แล้วนั่งรถออกไปทันที
จากนั้นผู้ก่อเหตุ ก็เดินทางมาถึงโรงพักพร้อมแม่ ด้วยสีหน้าแววตาที่ดูเครียด ไม่พูดไม่จาและเข้าไปยังห้องสอบสวนทันที แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกันไม่ให้ทีมข่าวเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศ โดยมีน้า ป้า และแฟนหนุ่มของนายเต้ย เดินทางมาให้กำลังใจอยู่ที่หน้าโรงพัก เมื่อทีมข่าวพยายามเข้าไปพูดคุย ทั้งหมดกลับลุกขึ้นหนีออกไป และบอกว่าจะยื่นประกันตัวในชั้นสอบสวนในวันพรุ่งนี้ (13 ธ.ค.64)
โดยตลอดระยะเวลาการสอบปากคำ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 15.00 น. รวมแล้วเป็นเวลา 5 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจ อนุญาตให้นายเต้ย กลับบ้านได้ เนื่องจากไม่มีพฤติกรรมหลบหนี และยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยกันทีมข่าวไม่ให้เจอนายเต้ย ก่อนพาออกทางห้องน้ำอีกฝั่งของโรงพัก แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากที่นายเต้ย ขึ้นรถของญาติที่มารอรับนั้น กลับลืมแม่ของตัวเองที่เดินทางมาด้วย เพราะแม่แวะเข้าห้องน้ำ ทำให้ญาติต้องจอดรถเพื่อรับแม่ของผู้ก่อเหตุ ระหว่างนั้นทีมข่าวก็พยายามถามนายเต้ย และแม่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอีกรอบ แต่ก็ไม่ตอบอะไรเช่นเดิม มีแค่แม่ที่บอกว่า “ยังไม่เสร็จ”
พ.ต.ท.ชูเชิด หนูสลุง สว.(สอบสวน) สภ.เมือง จ.สระบุรี ให้ข้อมูลว่า หลังจากนายเต้ย ก่อเหตุยิงพี่ชาย ก็ได้หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ เนื่องจากตกใจจึงได้ขี่รถไปยัง อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นญาติ จากนั้นก็ได้เล่าให้ญาติฟัง ญาติจึงได้กล่อมให้มอบตัว โดยติดต่อกับญาติอีกคนซึ่งเป็นน้าที่ จ.สระบุรี ให้มารับที่ จ.อ่างทอง และได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อมอบตัวดังกล่าว
ทั้งนี้ นายเต้ย ให้การรับสารภาพอ้างว่า ส่วนปมของการก่อเหตุนั้น ตนทนพี่ชายรังแกมานานแล้ว ใช้กำลังทุบตีและด่าทอเป็นประจำ วันที่เกิดเหตุเหลืออดแล้วจริง ๆ หลังโดนตบหน้าจึงโมโห เดินเข้าไปหยิบอาวุธปืนซึ่งเป็นของคนในบ้านที่มีอยู่แล้วมาใช้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแจ้งข้อหาเบื้องต้นพยายามฆ่า
หลังจากนั้น ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงไปยังจุดเกิดเหตุ พบว่ายังมีคราบเลือดของนายต้น กองอยู่บริเวณลานหน้าบ้าน และได้สอบถามกับนางสุพรรษา สุวรีย์ อายุ 38 ปี น้าของทั้ง 2 คนที่เดินทางไปรับตัวนายเต้ย เข้ามอบตัวกับตำรวจ
นางสุพรรษา กล่าวว่า บ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านเกิดของทั้งคู่ แต่หลังจากที่นายต้น แต่งงานกับภรรยา เขาก็ออกไปอาศัยอยู่ที่บ้านภรรยาใน ต.เสาไห้ อ.เสาไห้ จ.สระบุรี ส่วนนายเต้ย จะอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดเหตุเป็นหลัก นาน ๆ ครั้งนายต้นจะแวะเวียนกลับมาที่นี่ โดยช่วงแรกที่กลับมานายต้น ก็ดูเป็นเหมือนคนปกติ เพราะเดิมทีเขาเป็นคนจิตใจดี สนุกสนาน ยิ้มแย้ม แต่เมื่อต้นปี 2556 เริ่มมีนิสัยเปลี่ยนไป อารมณ์รุนแรง ชอบทำลายข้าวของ สุดท้ายญาติมารู้ว่าเป็นอาการของคนเล่นยาเสพติด เพราะนายต้นโดนจับกุมในข้อหาเสพยาเสพติด จำคุกอยู่ 8 เดือน
หลงจากพ้นโทษ นายต้น ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย มีอาการคลั่ง คิดไปเองว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน ก็เลยน้อยใจพยายามหาเรื่องทำร้ายทุบตีตบหน้านายเต้ย เป็นประจำ ๆ แต่ด้วยนายเต้ย มีใจเป็นหญิง ไม่ชอบความรุนแรง ก็เลยหลีกเลี่ยงที่จะปะทะกับ ซึ่งทุกครั้งที่พี่ชายมาบ้าน นายเต้ยก็จะเดินหนีไปให้พ้น ที่สำคัญเมื่อนายต้น มาแล้วไม่เจอน้องชาย ก็จะโมโหทำลายข้าวของในบ้าน อย่างเมื่อเดือนที่แล้วก็ใช้ไม้ทุบกล้องวงจรปิดในบ้านพังไป 2 ตัว และถีบประตูห้องนอนของนายเต้ยจนพังเสียหาย
"วานนี้ข้างบ้านมีการจัดงานแต่งงาน แล้วทั้ง 2 ก็จะไปร่วมงานแต่ง ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเกิดเหตุประมาณ 2 หลัง จึงทำให้ต้องมาเจอกันที่บ้านเกิดเหตุ ซึ่งขณะที่กำลังมีการแห่ขันหมาก มีคนได้ยินนายต้น และนายเต้ย ทะเลาะกันออกมาจากบ้าน จากนั้นก็ได้ยินเสียงนายต้น ตบหน้านายเต้ย ต่อมาไม่กี่วินาทีก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด เมื่อชาวบ้านวิง่มาดูก็พบว่านายต้น ล้มฟุบลงที่หน้าบ้านแล้ว ส่วนนายเต้ย ก็หลบหนีออกไปโดยที่ไม่มีใครเห็น ส่วนตัวมองว่าที่นายเต้ย ตัดสินใจก่อเหตุเช่นนั้น เพราะถึงขีดจำกัดของความอดทนแล้ว จึงไปหยิบปืนมาใช้ก่อเหตุ" นางสุพรรษา กล่าว
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปพบนายธรรม หมื่นมี อายุ 58 ปี พ่อของทั้งคู่ เปิดเผยว่า สาเหตุที่ลูกชายทั้ง 2 คนมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย เพราะนายต้น เคยโดนคดีเสพยาเสพติดจนติดคุก ซึ่งผลข้างเคียงของยาทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนละคน จากที่เคยจิตใจดี ร่าเริง รักน้องก็กลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวน อารมณ์ร้อน ชอบทำลายข้าวของ และมักจะชอบหาเรื่องน้องชาย
ทั้งนี้ ตนก็พยายามถามว่า "ทำไมถึงทำแบบนี้" นายต้นบอกว่ารู้สึกว่าพ่อแม่ลำเอียง รักลูกไม่เท่ากันก็เลยลงก่อทำร้ายน้องชาย ซึ่งคิดว่าได้รับความรักมากกว่า ทั้ง ๆ ที่ตนก็ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะพ่อแม่รักลูกทั้ง 2 คนเท่ากัน ตนมั่นใจว่าไม่เคยพูดหรือทำอะไรให้ลูกรู้สึกได้รับความรักไม่เท่ากัน ไม่เคยดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายด้วยซ้ำ หรือจะตั้งคำถามว่าเขาแย่งมรดกอะไรกันหรือเปล่า ตนก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะตนไม่มีมรดกอะไร นอกจากบ้านที่เกิดเหตุบนพื้นที่ 1 งานกว่า ๆ และตนก็ไม่เคยเอ่ยปากจะยกให้ใครเป็นกิจจะลักษณะด้วย
ส่วนนายเต้ย ตนเชื่อว่าที่เขาก่อเหตุก็เพราะหมดความอดทน ประกอบกับเขาเป็นคนที่ใจร้อนประมาณหนึ่ง ที่ผ่านมาตนเคยอธิบายให้นายต้น ฟังเสมอว่าพ่อแม่รักลูกเท่ากันหมด ไม่มีใครมากหรือน้อยกว่า แต่เขาก็ไม่เชื่อ ส่วนปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้น ตนคาดว่าคงเป็นปืนปู่ที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่น่าแปลกที่ทุกคนในบ้านไม่มีใครรู้ว่าในบ้านมีปืน เพราะตนไม่ชอบเล่นปืนผาหน้าไม้ กระทั่งตำรวจเข้ามาตรวจถึงรู้ว่ามีปืนอยู่ในลิ้นชักกลางบ้าน ญาติ ๆ จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นปืนของปู่ เพราะสมัยที่ปู่ยังมีชีวิตก็เห็นว่ามีปืน
"ผมยอมรับเลยว่า ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าลูก 2 คนจะทะเลาะกันเพราะเรื่องแบบนี้ จนก่อเหตุฆ่าแกงกัน มันน่าเศร้าน่าน้อยใจชะตาชีวิตเหมือนกัน หวังว่าหากทั้งคู่ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้ แล้ววันหนึ่งเขาจะกลับมารักกันเหมือนพี่น้องคนอื่น ๆ" ผู้เป็นพ่อ กล่าวตัดพ้อ
อย่างไรก็ตาม อาการเบื้องต้นของนายต้น ที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสระบุรี ญาติ ๆ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า นายต้น รู้สึกตัว สื่อสารได้บ้างแล้ว แต่แพทย์ยังคงงดเยี่ยมไข้ และยังไม่มีกำหนดออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากเพิ่งได้รับการผ่าตัดบาดแผล เพราะวิถีกระสุนยิงทะลุสะโพกซ้าย ทำให้โดนลำไส้และกระเพาะปัสสาวะฉีกขาด