กรณีเฟซบุ๊ก ห้องสืบ โพสต์เรื่องราวเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับสังคม กรณีหญิงสาวรายหนึ่ง ฉีดสารแปลกปลอมที่สะโพก เพื่อให้มีรูปร่างสวยงาม แต่ปรากฏว่าเกิดอาการอักเสบติดเชื้อ มีอาการเน่า สารแปลกปลอมได้กินเนื้อดีบริเวณสะโพก ซึ่งแพทย์ระบุว่าไม่สามารถรักษาผู้เสียหายรายนี้ให้หายขาดได้ โดยแฟนเพจเปิดเผยข้อมูลอีกว่า หมอเถื่อนรายนี้รับฉีดอยู่ตามถนนลาดพร้าว และเดินสายรับฉีดตามบ้านหรือคอนโดฯ รวมถึงโรงแรม และสถานเสริมความงามอีกด้วย
วันที่ 7 ธ.ค. 61
คุณรวีกานต์ บุญมา หรือ มะนาว ผู้เสียหาย ระบุว่า เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว เพื่อนกลุ่มสาวประเภทสองชักชวนให้ตนไปฉีดสะโพกกับหมอกระเป๋ารายนี้ที่บ้านย่านลาดพร้าว โดยขณะนั้นตนตั้งใจฉีดก้นเพื่อให้มีขนาดใหญ่ สามารถใส่เสื้อผ้าได้สวย เพราะตนเป็นคนรูปร่างเล็ก เวลาใส่เสื้อผ้าก็จะไม่มีก้น ตนจึงยอมจ่ายเงินจำนวน 20,000 บาท เพื่อไปฉีดฟิลเลอร์กับหมอกระเป๋า
จากนั้น หมอกระเป๋าฉีดฟิลเลอร์ที่สะโพกตนทั้งซ้ายและขวา โดยฉีดจนถึงบริเวณช่วงเอว ทำให้มีรอยช้ำ ตั้งแต่ช่วงสะโพกจนถึงเอว ซึ่งวันแรกหลังฉีดนั้น ตนรู้สึกปวดมาก และมีรอยเข็มขนาดใหญ่อยู่ตามร่างกาย กระทั่งรอประมาณ 7 วัน เพื่อนตนที่ไปฉีดด้วยกันนั้น รอยช้ำตามร่างกายได้หายไป แต่รอยช้ำของตนกลับไม่หาย ตนจึงตัดสินใจกลับไปหาหมอกระเป๋าอีกครั้ง เมื่อไปหาครั้งที่ 2 หมอกระเป๋าให้ตนไปซื้อยาแก้ปวด และใช้เจลทาลดรอยช้ำ แต่เมื่อทาไปก็ไม่หายช้ำแต่อย่างใด ตนต้องอดทนกับอาการดังกล่าวอยู่เกือบ 1 ปี ก่อนตัดสินใจกลับไปหาหมอกระเป๋าอีกครั้ง เพราะเนื้อส่วนช้ำ เปลี่ยนเป็นเนื้อสีดำบาง ๆ คล้ายกับรอยไหม้
คุณรวีกานต์ เล่าต่อว่า เมื่อไปหาหมอกระเป๋าเป็นครั้งที่ 3 หมอกระเป๋าจึงใช้เข็มเจาะที่สะโพกตน แล้วดูดของเหลวออกมา โดยมีลักษณะคล้ายกับน้ำมันปนเลือด ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าเป็นสารแปลกปลอมที่เขาฉีดให้หรือไม่ จากนั้น ตนกลับมารักษาตัวที่บ้านพัก พบว่าอาการปวดเริ่มทุเลาขึ้น แต่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ก็กลับมาปวดอีกครั้ง โดยเปลี่ยนมาปวดอีกจุดแทน ตนจึงตัดสินใจไปหาหมอกระเป๋าอีกครั้ง คราวนี้หมอปฏิเสธการรักษา และให้ตนไปหาหมอที่โรงพยาบาลแทน โดยระบุว่า ผิวตนเป็นผิวหนังไก่ทำให้ไม่สามารถรักษาได้ ตนจึงไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดให้ทั้งหมด 3 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่เข้ารับการรักษา
โดย
แพทย์ของโรงพยาบาล ระบุว่า อาการของตนมีการติดเชื้อ และสารแปลกปลอมซึมลงไปใต้ผิวหนัง หากผ่าตัดไปแล้วอีกสักพัก สารพวกนี้ก็จะกัดกินเนื้อลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ตนไม่สามารถทำอะไรกับผิวหนังตรงนั้นได้ เพราะมีลักษณะเป็นรอยไหม้ดำ ตนจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด และเลาะผิวหนังออกมา หากบางจุดเป็นผังผืด ก็ต้องตัดลอกผิวหนัง บางจุดเมื่อเจาะไปแล้วก็ยังพบว่ามีน้ำมันออกมา ซึ่งแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ตนต้องเข้ารับการรักษาอีกนานเท่าใด
ทั้งนี้ ช่วงเข้ารับการผ่าตัดตน ไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปกติ เพราะแผลเป็นทางยาว มีการเจ็บปวด ไม่สามารถนอนตะแคงได้ และต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลในการผ่าตัดครั้งหนึ่งกว่า 50,000 บาท ซึ่งตนก็หาเงินมาผ่าตัดแทบไม่ทัน เพราะค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งสูงมาก นอกจากนี้ เบื้องต้น ตนเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้ว