กรณีนายปราณันต์ หรือ “น้องนัทตี้” อายุ 27 ปี สาวประเภทสองรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวของตัวเองไว้ในกลุ่มข่าวสารของ จ.นนทบุรี หลังจากรู้จักกับหนุ่มคนหนึ่ง อายุ 33 ปี หน้าตาหล่อตี๋ ผิวขาวเหลือง แต่งตัวดูภูมิฐาน ผ่านแอปพลิเคชันหาเพื่อนและหาคู่ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 64 โดยไม่รู้จักชื่อ-สกุลจริงคื แต่เรียกชายรายนี้ตามชื่อบัญชีที่ปรากฎในแอปฯ ว่า “นายภาคิม”
กระทั่งวันที่ 13 ธันวาคม 64 ได้มีโอกาสนัดเจอกันครั้งแรก ฝ่ายชายจึงชักชวนไปทานข้าวที่ร้านชาบูแห่งหนึ่ง ภายในห้างฯ ชั้น 5 ย่านงามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี แต่สุดท้ายปรากฎว่านายภาคิม จากหนุ่มรูปหล่อ ได้กลายเป็นมิจฉาชีพใช้กลอุบายยืมโทรศัพท์ไอโฟน 12 โทรไปหาพ่อ อ้างว่าโทรศัพท์ของแบตเตอรี่หมด ก่อนจะเดินหนีหายออกจากร้านไปโดยไม่กลับมาจ่ายค่าอาหารอีกด้วย จากนั้นวันที่ 14 ธันวาคม 64 จึงได้นำกล้องวงจรปิดไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนนทบุรี พร้อมให้ปากคำกับตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุดวันที่ 15 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้คุยกับ “น้องนัทตี้” สาวประเภทสองคนดังกล่าว เล่าให้ฟังว่า หลังจากพบกับนายภาคิม ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 64 ตนก็คุยกันผ่านแอปฯ เหมือนหนุ่มสาวทั่วไป ไม่ได้คุยกันในเชิงชู้สาว แต่นายภาคิน พยายามบอกกับตนว่า "อยากเจอจังครับ อยากชวนไปเลี้ยงข้าว" กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 64 ตนต้องไปสัมภาษณ์งานที่ย่านงามวงศ์วาน จึงได้นัดหมายนายภาคิม ให้มาพบเจอที่ร้านดังกล่าว
ในระหว่างนั้นนายภาคิม ก็มีการทักทายพูดคุยถามเรื่องงานที่ไปสัมภาษณ์ ถ้าไม่ได้งานก็ให้ไปทำกับเขา ไปเป็นเสมียนร้านขายรถมือสอง แล้วเขาก็ไปหยิบอาหารมาให้ตนด้วย ก่อนที่จะขอยืมโทรศัพท์มือถือจากตนไปใช้รอบแรก โดยอ้างว่าโทรศัพท์ของเขาแบตเตอรี่หมด และต้องการโทรกลับไปหาพ่อ ตนก็เหลือบไปดูเห็นว่าหน้าจอโทรศัพท์เขาแตก มองไม่เห็นปริมาณแบตเตอรี่ จึงยอมให้นายภาคิม ยืมโทรศัพท์ไปใช้
จากนั้นนายภาคิม ก็ถือโทรศัพท์เดินคุยไปมาภายในร้าน แล้วก็เดินไปหน้าร้าน ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้ตน และเดินไปตักอาหารมาที่โต๊ะเพื่อทำให้ตนเชื่อใจ แต่หลังจากนั้นนายภาคิม ก็ขอยืมโทรศัพท์โทรหาพ่อของเขาอีกรอบ ตนก็ให้ไปเพราะเห็นว่าเขาออกไปคุยหน้าร้าน ทำท่านั่ง ๆ ยืน ๆ ก็ไม่ได้เอะใจอะไร จึงเดินไปหยิบอาหาร แต่นายภาคิม ใช้โอกาสนี้ที่ตนเผลอออกจากร้านไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือไอโฟน 12
จากนั้นตนก็ขอยืมโทรศัพท์พนักงานโทรเข้าไปที่เบอร์ของตัวเอง นายภาคิมก็รับสายอ้างว่าลงมากดเงินที่ชั้นล่าง ตอนนั้นตนเริ่มเอะใจแล้ว เพราะชั้นที่กินชาบูก็มีตู้กดเงินเยอะมาก ทำไมต้องลงไปชั้นล่าง หลังจากวางสายตนก็ไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ผ่านไปประมาณ 10 นาที เห็นว่านายภาคิม ยังไม่กลับมา ก็เลยไปขอยืมโทรศัพท์พนักงานอีกรอบ ครั้งนี้โทรไปแล้วไม่มีคนรับสายทั้งวัน ตนก็เลยมั่นใจว่าโดนขโมยโทรศัพท์แน่นอน ทั้งนี้ หลังจากนั้นแอปพลิเคชันทุกอย่างที่ตนเคยล็อกอินไว้ก็ถูกล็อกเอาต์ทั้งหมด และไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย
"หนูก็เลยแจ้งไปยังธนาคารที่ผูกไว้กับโทรศัพท์เครื่องนั้น ให้อายัดบัญชีไว้ โชคดีที่ยังไม่มีเงินถูกถูกหรือโอนออกไป ต่อมาก็พยายามใช้โทรศัพท์อีกเครื่องติดต่อกลับไปหาฝ่ายชายผ่านแอปฯ เพื่อถามว่าจะขโมยเหรอ ซึ่งนายภาคิมก็เปิดอ่านข้อความ แต่ไม่ตอบกลับ จึงบอกไปว่าจะไปแจ้งความ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ตอบอีกเลย" ผู้เสียหาย กล่าว
สำหรับความเสียหายในครั้งนี้ โทรศัพท์ไอโฟน 12 โปรแม็กซ์ มูลค่าเกือบ 40,000 บาท ซึ่งตนซื้อมาได้เพียง 4 เดือน ยังผ่อนเดือนละ 1,000 กว่าบาท ถ้าไม่ได้คืนตนก็ต้องผ่อนลมต่ออีกประมาณ 35,000 บาท และที่สำคัญตนมีอาชีพเสริมคือขายขนมในช่องทางออนไลน์ ออร์เดอร์ และเบอร์ติดต่อลูกค้าก็อยู่ในโทรศัพท์เครื่องนั้นหมด ซ้ำยังต้องมาจ่ายค่าชาบูให้นายภาคิม อีก 700 กว่าบาท ถามว่าในรูปกับตัวจริงของนายภาคิน คล้ายกันหรือไม่ ก็มีความคล้ายแค่หุ่น สูงประมาณ 160-170 ซม. สีผิวสองสี ตาชั้นเดียว อายุประมาณ 30 ปี แต่ตนคิดว่าคนในรูปอายุไม่น่าจะถึง 30 ปี จึงคาดว่าน่าจะคนละคน
อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับเลยว่าไม่ได้คล้อยตามหรือหลงเสน่ห์อะไรผู้ชาย แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนี้ ตนจึงอยากฝากเตือนให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนที่นัดเจอกันผ่านแอปฯ หาคู่ต้องมีสติ หรือถ้าเป็นไปได้ก็อย่าด่วนนัดเจอใครผ่านแอปฯ เพราะทุกวันนี้มิจฉาชีพมีอยู่ในทุกรูปแบบ ขนาดภายในห้างฯ คนเยอะ มีกล้องวงจรปิดยังกล้าทำ ตนอยากฝากให้ร้านอาหารสนใจมองลูกค้า สอดส่องดูแลว่าลูกค้ามากี่คน แล้วเขาออกไปกี่คนด้วย