เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 65 ที่ สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี นายนัยน์เนตร บัวเพชร อายุ 44 ปี นางจรรยารัตน์ บำเพ็ญ อายุ 38 ปี สองสามีภรรยา ชาวสวนยางพารา พร้อมด้วยทนายความ และญาติรวม 20 คน เดินทางไปที่โรงพักเพื่อทวงถามความยุติธรรม กรณีเหตุการณ์ถูกอดีตคนงาน ซึ่งรับจ้างกรีดยาง แจ้งความดำเนินคดี ในข้อหายิงปืนข่มขู่ให้เกิดความหวัดกลัว โดยอดีตคนงานคนดังกล่าวถูกไล่ออก เพราะประพฤติตัวมิชอบ ซึ่งไล่ออกเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2564 แต่มีการแจ้งความเอาผิดนายนัยน์เนตร นายจ้าง ว่ามีการข่มขู่
ทำให้เจ้าตัวต้องเดินทางไปพบกับพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2565 จากนั้นปรากฏว่าได้ถูกนำตัวไปขนของกลาง ซึ่งตำรวจที่พาไปขนของกลางตำแหน่งเป็นถึงระดับรองผู้กำกับสอบสวน เมื่อได้ของกลางแล้ว ได้พาออกนอกเส้นทางมุ่งหน้าไปที่โรงโม่หินแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ และระหว่างทางก็มีการทำร้ายร่างกายในรถ จนทำให้นายนัยน์เนตรกลัวว่าจะถูกฆ่าปิดปาก จึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถเพื่อหลบหนีนั้น
วันที่ 12 ม.ค. 65 นายนัยน์เนตร บัวเพชร อายุ 44 ปี ผู้เสียหาย ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีการข่มขู่อดีตลูกจ้าง งพาทีมข่าวเดินทางไปยังพื้นที่ตำบลพลายวาส อำเภอกาญจนดิษฐ์ ซึ่งเป็นพิกัดที่ตัวของนายนัยน์เนตรมีการหลบห นีกระโดดลงจากรถกระบะสีขาวที่มีการคุมตัวในวันเกิดเหตุ ก่อนที่จะวิ่งลัดเลาะไปในบ้านของชาวบ้านในพื้นที่ตึกหลังต้นปาล์ม ระหว่างที่หลบหนีไปนั่งอยู่ที่หลังต้นปาล์ม ก็มีการพยามติดต่อกับภรรยาตลอดเพื่อให้มารับ
นายนัยน์เมตร ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ช่วงประมาณเดือนเมษายน 2564 มีการไล่ลูกจ้างผู้หญิงออก 1 คน เพราะมีการประพฤติตัวมิชอบ โดยมีการฉ้อโกงเงิน ตนเองจึงตัดสินใจไล่ออกจากงาน หลังจากนั้นตัวของอดีตลูกจ้างเกิดความไม่พอใจ ได้เข้ามามีทะเลาะปากเสียง แต่ไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน จากนั้นตนเองก็รับคนงานคนอื่นเข้ามาทำงานตามปกติ แต่เมื่อผ่านไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าตัวของอดีตลูกจ้างได้ไปแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดตนเองที่โรงพัก สภ.กาญจนดิษฐ์ ในข้อหายิงปืนข่มขู่ ทำให้เกิดความหวัดกลัวตกใจ
ซึ่งหลังจากตนเองตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ก็ได้เดินทางไปให้ปากคำเมื่อช่วงประมาณวันที่ 30 ธ.ค. 64 แต่ในตอนนั้นก็เป็นการปากคำทั่วไป โดยมีพนักงานสอบสวนในคดี สอบสวนร่วมกับรองผู้กำกับฝ่ายสอบสวน แต่เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วตนเองกำลังจะถูกแจ้งข้อกล่าวหายิงปืนข่มขู่ ตอนนั้นตัวเองได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และไม่ได้รับผิดว่าเป็นคนยิงปืน เพราะไม่ได้มีการยิงปืนข่มขู่ใคร
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา ทางด้านของรองผู้กำกับสอบสวนคนดังกล่าว ได้มีการประสานมาหาพ่อของตนเอง เพื่อให้ไปให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง แต่วันดังกล่าวตนเองติดที่จะไปสวนยังไม่พร้อมที่จะไปให้ปากคำ ก็ถูกรองผู้กำกับข่มขู่ว่าจะมีการออกหมายจับทันที พ่อตนจึงได้ประสานให้ตนเองไปพร้อมกับภรรยาเพื่อไปพบกับพนักงานสอบสวน เมื่อไปถึงก็แสดงความบริสุทธิ์ใจ เหมือนเช่นครั้งแรกที่เข้าไป เพราะไม่ได้มีการยิงข่มขู่อดีตลูกจ้างตามที่ถูกกล่าวหา โดยรองผู้กำกับฝ่ายสอบสวน ได้มีการพูดคุยอย่างสุภาพ ไม่มีคำหยาบ บอกกับตนเองว่า "ให้พาไปดูอาวุธปืนที่บ้าน" ตอนนั้นตนเองก็เลยตัดสินใจขึ้นรถออกไปกับรองผู้กำกับ และตำรวจอาสา แต่ภรรยาได้นั่งรออยู่ที่โรงพักไม่ได้ออกไปด้วย เมื่อตนเองกลับถึงบ้าน ก็มีการหยิบเอาอาวุธปืนไปให้รองผู้กำกับตรวจสอบ จากนั้นก็ได้มีการถามหาลูกกระสุนปืน ซึ่งตนเองก็ไปหยิบเอามา 2 นัดไปเป็นตัวอย่าง
หลังจากที่ได้ปืนและกระสุนปืนแล้ว ก็ได้มีการพาตัวตัวเองขึ้นรถ จากเส้นทางออกจากบ้านของตนเองในตำบลช้างขวา ซึ่งเส้นทางกลับก็จะต้องออกไปที่ถนนกาญจนดิษฐ์-สุราษฎร์ธานี แต่เมื่อถึงทางเลี้ยวเข้าโรงพัก กลับพบว่ารถคันดังกล่าวไม่ได้หักเลี้ยวเข้าไป ตนเองก็เริ่มเอะใจ สอบถามรองผู้กำกับสอบสวนที่นั่งอยู่ในรถ เจ้าตัวก็เริ่มมีท่าทีฉุนเฉียว และพูดจาไม่เพราะ ทำนองว่า “มึงนั่งอยู่ในรถไม่ต้องสงสัย กูจะพาไปไหนก็ได้ เพราะมึงอยู่ในรถกู ห้ามถามห้ามพูดมาก” จากนั้นก็ขับมุ่งหน้าออกนอกเมือง ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าจะพาไปไหน จึงได้ตัดสินใจถามอีกครั้ง จากนั้นรองผู้กำกับก็อ้างขึ้นมาว่าจำเป็นต้องไปเติมน้ำมันปั๊มที่เป็นคอนแทคของตำรวจ ซึ่งตนเองก็งงว่าขับผ่านปั๊มมาไม่ต่ำกว่า 3 ปั๊ม ก็ไม่มีการจอดแวะสำหรับเติมน้ำมัน จึงทำให้ผิดสังเกตมากขึ้นกว่าเดิม และตัวของรองผู้กำกับก็พูดขึ้นมาอีกว่า “จะพาไปเติมน้ำมันที่โรงโม่หิน ไม่ต้องพูดมาก”
ในระหว่างทางรองผู้กำกับสอบสวน ได้มีการพูดกับอาสาสมัครตำรวจที่เป็นคนขับ ทำนองว่า “30,000 บาท จบเคลียร์ ตัดทิ้งเลย” ตนเองก็เริ่มที่จะเกิดความหวาดกลัว เพราะในขณะนั้นมีการขับรถออกนอกเส้นทาง ประกอบกับมีการพูดถึงจำนวนเงิน แล้วพูดถึงการตัดบางอย่างทิ้ง จึงได้พยายามหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะต่อสายหาภรรยาที่รออยู่โรงพัก ช่วงที่มีการโทรศัพท์หาภรรยา ถูกรองผู้กำกับสอบสวนล็อกคอทำร้ายร่างกายตลอดทาง แต่ในสายภรรยาได้กดรับไปแล้ว และได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ตนเองถูกซ้อมไป พูดแทรกไป ทำนองว่า "พี่คงไม่รอด กำลังโดนทำร้าย"
จนกระทั่งรถไปหยุดนิ่งอยู่ที่ ตำบลพลายวาส ตนเองก็พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อจะเปิดประตูรถวิ่งหนี แต่รถยังล็อกอยู่ไม่สามารถเปิดได้ จึงตัดสินใจกระโดดถีบประตู จังหวะนั้นตัวของอาสาตำรวจกลัวว่ารถจะพังและเสียหาย จึงได้มีการเปิดล็อกรถ ตนเองก็เลยสามารถที่จะกระโดดหลบหนีได้ และไปซ่อนตัว
หลังจากเกิดเหตุ ตนเองได้ถูกผู้กำกับโรงพักกาญจนดิษฐ์เรียกเข้าไปพบ ซึ่งให้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผู้กำกับก็ไม่ได้ชี้แจงหรือเรียกฝั่งของรองผู้กำกับสอบสวนมาพูดคุยแต่อย่างใด และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบไป ตนเองก็ไม่รู้ว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง ตนเองก็ไม่ทราบว่าเหตุผลที่รองผู้กำกับคนดังกล่าวตัดสินใจทำร้ายร่างกายตนเองเกิดจากอะไรกันแน่ ดังนั้นเมื่อมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ประกอบกับภาพตนเองออกนอกเส้นทาง จึงอยากได้รับคำชี้แจงจากตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และอยากรู้ว่าตัวเองผิดอะไร ทำไมถึงต้องมีการทำร้ายร่างกายแบบนั้น ส่วนเรื่องของคดีที่ตนเองมีการยิงปืนข่มขู่อดีตลูกจ้างนั้น ก็ยืนยันว่าไม่เคยยิง อาจมีปากเสียงตอนแรกที่มีการไล่ออก แต่ด้วยตัวของอดีตลูกจ้างมีการประพฤติมิชอบจริง จึงทำให้ไม่สามารถที่จะให้ทำงานร่วมต่อไปได้
นายแซม (นามสมมติ) ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกที่เกิดเหตุ พบเห็นเหตุการณ์ในขณะที่ผู้เสียหายกระโดดรถหลบหนีลงจากรถตำรวจ เปิดเผยว่า ในวันดังกล่าวช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ของวันที่ 4 ม.ค. ตัวเองขับรถกลับมาจากทำธุระ เห็นรถกระบะสีขาว ฟิล์มกระจกมืด มองไม่เห็นคนด้านในขับวนอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งตนเองก็คิดว่าเป็นรถของชาวบ้านทั่วไป เพราะไม่ใช่รถตำรวจ และมองไม่เห็นข้างในว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่
แต่เหตุการณ์ก่อนที่รถกระบะสีขาวจะขับวน ได้มีการจอดนิ่งอยู่ที่ซอยถนนซีเมนต์ และรถโยกโครงเคงอยู่พักใหญ่ และมีผู้ชายใส่เสื้อสีขาวกระโดดลงจากรถ แต่ตนเองก็คิดว่าเป็นเหตุการณ์ชาวบ้านทะเลาะกันทั่วไป เมื่อมีปากเสียงจึงกระโดดลงจากรถเพื่อเอาตัวรอด จึงไม่ได้สังเกตว่าเป็นการหลบหนีของผู้ต้องหา เพราะถ้าหากเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเวลาที่ผู้ต้องหาหลบหนี ก็จะต้องมีการจอดรถลงมาพูดคุย พร้อมทั้งแสดงตัวกับชาวบ้าน และนำภาพของผู้ต้องหามาสอบถามกับชาวบ้าน แต่ในวันดังกล่าวตำรวจไม่ได้ลงมาจากรถและทำตามวิธีการปฏิบัติที่ควรจะเป็น ขับวนอยู่พักใหญ่ ไม่เจอตัวก็ได้ขับหนีออกจากพื้นที่ไป
ส่วนตัวของนายนัยน์เนตร ผู้เสียหาย เจ้าตัวได้หลบหนีวิ่งไปที่สวนปาล์มของชาวบ้านเพื่อเอาตัวรอด จากนั้นก็นั่งหลบหนีอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งภรรยาของผู้เสียหายมา ตนเองถึงเพิ่งมาทราบภายหลังว่ามีการหลบหนีจากรถตำรวจที่ถูกทำร้าย แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะภรรยาก็รับตัวผู้เสียหายออกไปจากพื้นที่โดยทันที
ด้าน พ.ต.อ.ปิยะพงษ์ บุญแก้ว ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ ชี้แจงว่า วันดังกล่าวได้มีการคุมตัวนายนัยน์เนตร ไปหาของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืน ตามที่มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์เอาไว้ ว่าถูกยิงปืนขู่ จึงต้องมีการตรวจหาของกลางเพื่อส่งตรวจประกอบในสำนวนคดี หลังจากที่ได้ของกลางแล้ว ช่วงที่กำลังจะกลับเข้าโรงพัก รถคันที่มีการนำไปปฏิบัติหน้าที่น้ำมันใกล้จะหมด จึงได้มีการขับเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปที่โรงโม่หินนอกเมือง เพื่อไปเติมน้ำมัน โดยน้ำมันดังกล่าวได้รับการสนับสนุนร่วมโรงพัก จึงต้องมีการเติมน้ำมันที่โรงโม่หินดังกล่าว ซึ่งก็ไม่ได้มีการออกนอกเส้นทางแต่อย่างใด เพราะได้แจ้งกับตัวของนายนัยน์เนตรแล้ว ว่าจะต้องไปเติมน้ำมัน แต่ในเส้นทางที่ขับออกไปนั้นเกิดจากอาการคุ้มคลั่ง หรืออาการหลอน คิดไปเอง ประกอบกับเคยได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง เพราะเคยประสบอุบัติเหตุ ทำให้คิดไปเองว่าจะมีการพาออกนอกพื้นที่ไปทำร้ายร่างกาย มีการดิ้นรนเพื่อจะขอออกจากรถ และมีการพยายามทำร้ายร่างกายรองผู้กำกับ แต่ในเส้นทางที่มีการขับมุ่งหน้าไปที่โรงโม่หิน ยืนยันว่ามีการหยุดรถเพื่อให้ลงจากรถโดยดี ไม่ได้มีการกระโดดออกอย่างที่กล่าวอ้าง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเชื่อว่าเกิดจากการคิดไปเอง