กรณีแฟนเพจเฟซบุ๊ก “อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2” โพสต์ข้อความระบุว่า “สันดา...ผู้ชาย (บางคน) สงสารนาง พลัดบ้านพลัดถิ่นยังต้องมาเจอเรื่องร้าย ๆ อีก ผู้ใหญ่ใจดีหรือหน่วยงานในพื้นที่ช่วยนางด้วย สาวลาวร้องขอความเป็นธรรม สามีคนไทยพาเมียน้อยคนไทยบุกจับมัดมือมัดเท้า เชือกรัดคอตบตีสั่งสอนไล่กลับประเทศ ทั้งที่มีลูกสาววัย 3 ขวบด้วยกัน เคยสัญญาจะจดทะเบียนทำหนังสือให้ถูกต้องตามกฏหมาย หลังเจอเมียใหม่คนไทยเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมและคำพูด แถมพาเมียใหม่บุกมาทำร้ายต่อหน้าลูก แจ้งความสภ.กระทุ่มแบน คดีไม่คืบ ตร.อ้างถ้าจับเมียน้อยต้องจับเมียลาวด้วย ข้อหาพาสปอร์ตหมดอายุ วอนสื่อช่วยเหลือ อ้างกลับประเทศไม่ได้ สปป.ลาวปิดประเทศ ช่วงหลังท้อถึงขั้นจะพาลูกกินยาตาย และจะพากันไปโดดน้ำตาย พิกัดซอยโรงเรียนบ้านคลองแค”
ล่าสุดวันที่ 13 ม.ค.65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้พูดคุยกับนางสาววี พรสวรรค์ อายุ 36 ปี เมียหลวง เล่าให้ฟังว่า ตนคบหาดูใจและอยู่กินกับนายดำรง สามี มาได้ประมาณ 8 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ตนเจอกันในแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก และได้พูดคุยกัน โดยตนทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร ย่านลาดปลาเค้า ส่วนนายดำรงทำงานพนักงานรักษาความปลอดภัย ย่านพระราม 2 พอคุยกันได้สักพักนายดำรง จึงขอให้ตนเลิกทำงานและมาอยู่กินด้วยกัน ตอนแรกตนก็ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะคบหาดูใจ แต่พอคุยกันทุกวัน ๆ เกิดความสงสารเห็นว่านายดำรง ไม่มีญาติพี่น้องและครอบครัว ตนจึงตัดสินคบหาดูใจพร้อมกับออกจากงานไปอยู่กับนายดำรง ที่ย่านพระราม 2
ขณะนั้นตนไม่ได้ให้นายดำรงเลี้ยงดูฝ่ายเดียว ตนก็ช่วยเหลือนายดำรงหาเงิน แต่นายดำรง บอกกับตนว่า “หนูมาทำงานกับพี่ที่บริษัทไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนลาว” ก่อนที่จะหางานกวาดขยะให้ตนทำ ตนก็ยินดีทำ ต่อมานายดำรง ได้อ้อนวอนให้ตนตั้งท้อง เพราะนายดำรง อยากมีลูก ครอบครัวจะได้เป็นครอบครัวมากยิ่งขึ้น ตนยอมรับว่าหลงรักนายดำรง ไปแล้วจึงตัดสินใจตกลง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเคยมีครอบครัวและมีลูกมาก่อนแล้ว
กระทั่งปี 60 ตนตั้งครรรภ์และคลอดลูกสาว ในวันที่ 12 กันยายน 61 นายดำรง ยังคงดูแลเอาใจใส่ เมื่อลูกบ้านให้ขนม นม น้ำดื่มอัดลม ก็นำมาให้ตนและลูกสาว นอกจากนี้ยังไม่มีพฤติกรรมที่นอกใจ ขณะเดียวกันเมื่อตนคลอดลูกแล้ว ตนได้หยุดทำงาน และไม่ได้ไปทำงานอีกเลย เนื่องจากลูกสาวขณะที่คลอดสะโพกหลุดทั้ง 2 ข้าง ตนจึงต้องดูแล ถัดมากลางปี 63 เจอโควิด-19 นายดำรงได้ลาออกจากงาน ก่อนจะได้งานใหม่ทำเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยเช่นเดิม
จากนั้นนายดำรงเริ่มมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ไม่ค่อยกลับมาที่บ้าน กระทั่งตนให้คนรู้จักแอบสืบจนทราบว่านายดำรงมีเมียน้อย ตนยอมรับไม่ได้ ถึงขั้นตรอมใจ คิดจะพาลูกสาวไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย และกินยาตาย แต่คนรอบข้างห้ามปรามเอาไว้ นอกจากนี้ ตนยอมรับว่าได้ไปอาละวาดที่ทำงานของนายดำรง จากนั้นตนเริ่มมีปากเสียงกันทุกวัน เพื่อขอให้นายดำรงเลิกติดต่อกับเมียน้อย แต่เดิมที่นายดำรงเรียกตนว่า “หนู” เปลี่ยนสรรพนามเป็นด่าทอ ส่วนตัวแล้วไม่เคยเจอกับเมียน้อย
ต่อมาเดือนตุลาคม 64 นายดำรง ตัดสินใจที่จะมาเก็บเสื้อผ้าไปอยู่กับเมียน้อย ตนได้ห้ามปรามแต่นายดำรงไม่ฟัง ขอตัดขาดกัน ก่อนที่นายดำรง จะไม่ดูแลส่งเสียครอบครัว ทำให้ตนแบกภาระในการดูแลลูกสาววัย 3 ขวบเพียงลำพัง ตนยอมรับว่าไม่มีงานทำ ซ้ำวีซ่าที่เข้ามาในประเทศไทยก็หมดแล้ว ตนจึงไม่สามารถไปยื่นใบสมัครทำงานที่ไหนได้ ก่อนหน้านี้นายดำรง เอ่ยปากพร้อมให้ความหวังกับตนว่า ไม่จำเป็นเป็นต้องไปต่อวีซ่าแล้ว เพราะจะจดทะเบียนสมรสกัน
ถัดมาวันที่ 25 ธันวาคม 64 เป็นวันที่เกิดเหตุ ลูกสาวป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล นายดำรง มาเยี่ยม แต่พอเมียน้อยโทรมากลับจะรีบแจ้นไปหากัน ตนยอมไม่ได้จึงมีปากเสียงถึงขั้นทำร้ายร่างกาย พยาบาลได้เข้ามาห้ามปราม ตนได้ไปแจ้งความก่อนจะสะกดรอยตามนายดำรงไปบ้านเมียน้อย ขณะนั้นเห็นพวกเขานั่งอยู่บนรถ คาดว่าน่าจะไปทานข้าว ตนจึงเดินเข้าไปหานายดำรง ก่อนที่เมียน้อยจะปรี่เข้ามาตบหน้าตน พร้อมทั้งดึงสายสะพายกระเป๋าจนขาด แล้วนำสายดังกล่าวมารัดที่คอตน ส่วนนายดำรงก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร
"นายดำรงคว้ามีดแทงมาที่หน้าอกซ้าย โชคดีที่แทงไม่เข้า เพราะฉันได้ห้อยตะกรุดหนังหน้าผากเสือ และพระอุ้มบาตร ซึ่งได้มาจากพระในจังหวัดเพชรบูรณ์ ฉันเชื่อว่าของทั้ง 2 สิ่งช่วยเหลือชีวิตเอาไว้ วินาทีที่นายดำรงใช้อาวุธมีดแทงมาที่หน้าอก รู้สึกใจแทบขาด เพราะไม่คิดว่าสามีจะกล้ากระทำแบบนี้ ภายหลังจากเกิดเหตุฉันได้ไปติดตามคดี แต่คดีก็ไม่คืบหน้า ที่ผ่านมานายดำรง ก็ส่งเงินมาให้เดือนละขั้นต่ำ 1,000 บาท และตั้งแต่นายดำรงไปอยู่กับเมียน้อย ฉันก็ได้ไปขอข้าวที่วัดกินเพื่อประทังชีวิต ยังโชคดีที่มีเพื่อนข้างบ้านคอยช่วยเหลือ" เมียหลวง กล่าว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายดำรง (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี สามีสาวลาวคนดังกล่าว กล่าวยอมรับว่า ตนนอกใจน.ส.วิ จริง เนื่องจากตั้งแต่น.ส.วิ คลอดลูกสาว ตนรู้สึกว่าเขามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ชอบหึงหวง แม้กระทั่งพี่สะใภ้ ตนโอนเงินคืนให้เพื่อนร่วมงานก็มักกล่าวหาว่า ตนโอนเงินให้กับผู้หญิง นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่อารมณ์ร้อน โมโหร้าย ชอบจัดแจงชีวิตความเป็นอยู่ กำหนดกรอบให้ตนต้องทำตาม ซึ่งตนไม่ชอบ เพราะตนก็มีชีวิตและความคิดเป็นของตัวเอง
กระทั่งตนได้มาร่วมงานกับน.ส.แมว เมื่อพูดคุยด้วยแล้วทำให้ตนรู้สึกสบายใจ ประกอบกับความใกล้ชิดจนทำให้แอบคบหากันในช่วงเดือนพ.ย.63 แต่ตนก็ปฏิบัติต่อน.ส.วิ ตามปกติ ต่อมาเดือนพ.ค. 64 น.ส.วิ จับได้ว่าตนแอบคบหากับน.ส.แมว พร้อมกับมาอาละวาดถึงที่ทำงาน ตนรู้สึกผิดจึงต่างฝ่ายต่างแยกย้ายเลิกรากันไป จากนั้นน.ส.วิ มักพูดจาถากถางมีปากเสียงกับตนจนถึงขั้นตบตี และนำมีดมาไล่ฟันไล่แทงตน พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ตนทนไม่ไหว
จากนั้นเดือนก.ย.64 ตนกลับไปคุยกับน.ส.แมว อีกครั้ง ก่อนตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากชีวิตของน.ส.วิ แต่ตนยังคงโอนเงินให้กับลูกสาววัย 3 ขวบ และไม่ได้ละทิ้งอย่างที่น.ส.วิ กล่าวอ้าง หากตนได้เงินรายวัน 500 บาท จะโอนให้น.ส.วิ จำนวน 200-300 บาท หรือหากไม่มีก็ไม่ได้โอน ส่วนที่น.ส.วิ อ้างว่าตนไม่ส่งเงินให้ ต้องไปเอาข้าววัดมาทานนั้น ที่บ้านก็มีข้าวสาร ทำไมไม่หุงหาอาหาร
ต่อมาวันที่ 25 ธ.ค.64 เป็นวันที่เกิดเหตุ ลูกสาววัย 3 ขวบป่วยเข้าโรงพยาบาล ตนได้ไปเยี่ยมแต่สถานการณ์ไม่ดี ตนจึงได้ตัดสินใจเดินออกมา และกลับไปเอากล่องใส่เสื้อผ้าให้กับน.ส.แมว ก่อนที่น.ส.วิ จะสะกดรอยตามมา และได้เดินไปหาเรื่องน.ส.แมว ตนจึงได้พยายามห้ามปรามทั้ง 2 ฝ่าย ขณะเดียวกันน.ส.วิ ได้หยิบมีดที่พกมาในกระเป๋าพยายามจะแทงตน เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ไม่ทราบว่ามีการรุมทำร้ายหรือไม่ ส่วนสาเหตุที่ตนไม่ได้พา น.ส.วิ ไปต่อวีซ่าใหม่และจดทะเบียนสมรส เนื่องจากขณะนั้นตนไม่มีเงิน ต้องนำเงินมาใช้จ่ายให้กับลูกสาว ซึ่งตนก็ไม่ได้ทดทิ้งน.ส.วิ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ ตนและน.ส.แมว ตัดสินใจเลิกติดต่อกันแล้ว เพราะน.ส.แมว มองว่าสงสาร และรู้ว่าทำผิด ทั้งนี้ ตนก็คงจะกลับไปหา น.ส.วิ เพราะรู้สึกสงสารและไม่อยากทิ้งลูกไปไหน แต่อยากให้น.ส.วิ ใจเย็นมากกว่านี้ หยุดนำเรื่องราวในครอบครัวไปเล่าให้คนอื่นฟัง