เมื่อเวลา 00.30 น. ของวันที่ 13 ม.ค. 65 ตำรวจภูธรไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งว่ามีเหตุยิงกันตาย ที่โกดังร้านขายลูกชิ้นตลาดเช้าไชยา หมู่ที่ 1 ต.ตลาดไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
ที่เกิดเหตุพบศพชายคนหนึ่งทราบชื่อว่า นายพงศ์เพชร หรือ กบ นุ่นสังข์ อายุ 25 ปี สถาพนอนตะแคงจมกองเลือด ถูกยิงเข้าที่บริเวณราวนมด้านขวาซ้าย จำนวน 3 นัด และพบปลอกกระสุนขนาด 9 มม. ห่างจากศพประมาณ 1 เมตร ตกอยู่จำนวน 1 ปลอก ส่วนคนยิงได้หลบหนีไป ทราบชื่อคือนายกิตติวัฒน์ หรือ มิว แจ้งอักษร อายุ 27 ปี
ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังตลาดเช้า อ.ไชยา จ.สุราษธานี ที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นโกดังเก็บลูกชิ้นของครอบครัวนายกิตติวัฒน์ หรือ มิว แจ้งอักษร อายุ 27 ปี มือยิง ลักษณะทำเป็นลูกกรงลวด 4 ด้าน ข้างในมีตู้แช่เย็นและถังน้ำแข็ง รวมถึงถุงลูกชิ้นที่จะเก็บเอาไว้ในโกดังดังกล่าว ทางเข้าออกของโกดังมีทั้งหมด 3 ทาง ส่วนใหญ่จะมีการปิดล็อกด้วยแม่กุญแจ ประตูทางออกโกดังด้านหลังใกล้กับถังน้ำแข็ง เป็นจุดที่พบร่างของนายพงศ์เพชร หรือ กบ นุ่นสังข์ อายุ 25 ปี คนตายนอนจมกองเลือด หลังจากเกิดเหตุได้มีการล้างทำความสะอาดคราบเลือดแล้ว
โกดังและแผนลูกชิ้นของนายกิตติวัฒน์ มีการเปิดพื้นที่ภายในตลาดเช้าไชชา ติดตั้งกล้องวงจรปิดส่วนตัวเอาไว้มากกว่า 8 ตัว แต่หลังเกิดเหตุกล้องวงจรปิดทั้งหมดไม่สามารถบันทึกย้อนหลังได้ พบว่าเซิร์ฟเวอร์หายไป เจ้าตัวให้การกับตำรวจว่าใช้การไม่ได้ก่อนที่จะเกิดเหตุ ขณะที่แผงปลาทูของนายพงษ์เพชร คนตาย ไม่ได้มีการเปิดแผงค้าภายในตลาดเช้าดังกล่าว แต่เปิดอยู่ที่หน้าตลาดใกล้ศาลเจ้า ทั้งคู่ก็ไม่ได้ขัดแย้งกันเรื่องของการขายปลาทูกับลูกชิ้นแต่อย่างใด
นางสาวเดือน (นามสมมติ) แม่ค้าภายในตลาด ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ เปิดเผยว่า ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ตนเองเดินทางมาเปิดวางขายของในตลาดสดเช้า ช่วงเวลาประมาณหลัง 02.00 น. ตอนนั้นแม่ค้าทั้งหมดต่างมาจัดของเพื่อเตรียมขาย ตลาดจะเปิดช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. เป็นต้นไป ตอนนั้นพ่อค้าแม่ค้าทุกคนก็มาตั้งแผงค้าขายตามปกติ สังเกตว่าร้านขายลูกชิ้นของนายกิตติวัฒน์ ไม่ได้มีการวางขาย ตนเองก็เข้าใจว่าเช้าวันนี้อาจปิด เวลาหลัง 02.00 น. มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาที่โกดังเก็บลูกชิ้นของนายกิตติวัฒน์จำนวนมาก เปิดโกดังดังกล่าวเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่าพบร่างของนายพงษ์เพชร หรือ กบ นอนเสียชีวิตอยู่ภ ทุกคนก็เกิดความตกใจว่าตอนที่มีการเปิดตลาดเช้าไม่มีใครรับรู้ว่าโกดังดังกล่าวมีศพนอนอยู่
ทราบภายหลังว่านายกิตติวัฒน์ เดินทางไปมอบตัวกับพนักงานสอบสวน รับสารภาพว่ามีการก่อเหตุยิงบุคคลแปลกหน้า ซึ่งคาดว่าเป็นโจรบุกเข้ามาภายในโกดังเพื่อจะขโมยลูกชิ้น หลังตำรวจทราบเรื่องจึงเข้าไปตรวจสอบ แต่พิรุธคือทำไมนายกิตติวัฒน์มีการก่อเหตุแล้วไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทันที หลบหนีทำไม มีการปิดโกดังล็อกกุญแจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งข้อสังเกตอีกว่าทำไมกล้องวงจรปิดก่อนหน้านี้ทั้งที่เหมือนใช้การได้ แต่พอหลังเกิดเหตุระบบกล้องวงจรปิดกลับใช้การไม่ได้ทั้งหมด
ตนเองในฐานะที่รู้จักกับนายกิตติวัฒน์ พ่อค้าขายลูกชิ้น และยังรู้จักกับนายพงษ์เพชร พ่อค้าขายปลาทู ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกัน ไปมาหาสู่ช่วยเหลือกันมาโดยตลอด เวลาดื่มสังสรรค์กินเหล้าก็จะนั่งล้อมวง เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก จึงแปลกใจว่ามีเหตุผลอะไรถึงต้องตัดสินใจยิงนายพงษ์เพชรให้ถึงแก่ความตาย ตลอดช่วงที่ผ่านมานายพงษ์เพชร คนตาย ก็มักจะมีการช่วยเหลือนายกิตติวัฒน์ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนนายจ้างลูกจ้าง แต่ไม่ได้รับเงินค่าจ้างด้วย
กรณีคำกล่าวอ้างของนายกิตติวัฒน์ มือยิง ที่มีการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บอกว่านายพงษ์เพชรบุกเข้ามาขโมยของ ประกอบกับกลางคืนค่อนข้างมืด มองไม่เห็นว่าเป็นใคร จึงตัดสินใจยิงเพราะมองว่าเป็นโจรนั้น ส่วนตัวไม่ทราบว่าวินาทีดังกล่าวเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่กลางคืนยอมรับว่าแผงค้าไม่ได้มีการเปิดไฟสว่าง ดังนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมองไม่เห็น ตนเองก็รู้สึกเสียใจและสงสารคนตาย
นางสาวชญาภร ทองเมือง อายุ 47 ปี แม่ของคนตาย เปิดเผยว่า ตัวเองแม่ค้าคิดว่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก จะมาก่อเหตุยิงกันแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาลูกชายอยู่ช่วยงานแผงปลาทูที่บ้านวันละเพียงแค่ 1 ชั่วโมง บางวันแค่ 30 นาที แต่ในทางกลับกันไปช่วยนายกิตติวัฒน์ มือยิงหลายชั่วโมง ส่วนใหญ่ลูกชายเวลาที่ไปช่วยงานกลับมาถึงบ้านก็ยังขอเงินตัวเองใช้ตลอด ถ้าหากไปช่วยงานแล้วได้รับเงินก็คงไม่มาขอเงินตัวเองใช้ ตนเองเคยถามลูกชายว่าทำไมต้องไปช่วยคนอื่นมากกว่าช่วยแผงปลาทูของตัวเอง ลูกชายบอกว่า "ไปช่วยเพื่อน เพราะพ่อแม่ตายแล้วไม่มีใครช่วย" ตัวเองก็นับถือน้ำใจที่ลูกชายไปช่วยเหลือ ตนไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกเสียใจ
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ลูกชายเคยมาบ่นให้ฟังตลอดว่านายกิตติวัฒน์เริ่มมีอาการหลอน อยู่คนเดียวไม่ได้ กลัวความมืด บางครั้งถึงขั้นโทรมาตามให้ไปเปิดไฟที่บ้านให้ อาการหลอนเกิดจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด บางครั้งถึงขั้นเอาอาวุธปืนที่เป็นปืนมรดกได้มาจากพ่อแม่ รวมกว่า 6 กระบอกมายิงขึ้นฟ้าเล่น บางครั้งก็พกอาวุธปืนติดตัวตลอด หลังจากที่ตนเองทราบข้อมูลจากลูกชายว่านายกิตติวัฒน์เริ่มแปลก จึงห้ามลูกชายและเตือนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นกับลูกชาย
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากคำกล่าวอ้างของนายกิตติวัฒน์ ที่ให้การว่ามองไม่เห็นในความมืด คิดว่าลูกชายเป็นโจร จึงก่อเหตุยิงนั้น ตนเองไม่ปักใจเชื่อ เพราะในแผงค้าไม่ได้มีการปิดไฟมืดสนิท สามารถที่จะมองเห็นลักษณะบุคคล รู้ว่าใครเป็นใคร ยิ่งโดยเฉพาะเป็นเพื่อนสนิทกันเห็นรูปร่างลักษณะและใบหน้าที่จำกันได้ มุมหนึ่งก็เชื่อว่าอาจเกิดจากอาการหลอนยาเสพติด
หลังจากเกิดเหตุแล้ว ยังพบว่าคดีนี้มีพิรุธหลายอย่าง เรื่องปลอกกระสุนปืนและหัวกระสุน ตอนที่นำร่างของลูกชายไปตรวจชันสูตรที่โรงพยาบาล ไม่มีหัวกระสุนฝัง และไม่มีปลอกกระสุนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ฉะนั้นจึงเชื่อว่ามีการยิงทะลุร่างไป การยิงเป็นเจตนายิงที่ไหล่ซ้ายและบริเวณแถวหัวใจ จงใจที่จะก่อเหตุยิง หลังจากที่ยิงแล้วก็ต้องมีการเก็บปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุทำลายหลักฐาน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจดันไปเจอปลอกกระสุนตกอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะร่วงตกมาจากเสื้อผ้าของลูกชาย อีกทั้งมีการนำผ้าสีชมพูมาคลุมร่างเอาไว้ลักษณะปิดบังอำพราง ถ้าหากบริสุทธิ์ใจทำไมถึงไม่แจ้งตำรวจเข้ามาที่เกิดเหตุ ทำไมถึงมีเวลาในการคิดไตร่ตรอง และมีการจัดการเรื่องพยานหลักฐาน ก่อนที่จะล็อกโกดังและออกไปจากพื้นที่
ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิด บริเวณทางเข้าตลาด แผงขายปลาทูของนายพงษ์เพชร คนตาย เมื่อคืนที่ 12 ม.ค. 65 เวลาประมาณ 23.50 น. นายพงษ์เพชร คนตาย ได้เดินวนอยู่บริเวณแผงปลาทู ช่วยเหลือกลุ่มคนงานจะเตรียมของที่จะขายในตลาด โดยเป็นภาพวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะเข้าไปในตลาด และถูกนายกิตติวัฒน์ เพื่อนสนิท ยิงดับในโกดังลูกชิ้น
อีกมุมปรากฏภาพในช่วงเช้าก่อนที่จะเกิดเหตุ นายกิตติวัฒน์ มือยิง และนายพงษ์เพชร คนตาย ช่วยเหลือสำหรับขนส่งลูกชิ้นให้กับร้านของนายกิตติวัฒน์ เห็นว่ามีการขับรถมอเตอร์ไซค์ มีรถเข็นพ่วงท้าย นายพงษ์เพชร คนตาย เป็นคนขับ ส่วนนายกิตติวัฒน์ คนยิง เป็นคนนั่งซ้อนท้ายลักษณะหันหลังชนกัน และใช้มือจับพ่วงท้ายที่มีการบรรทุกลูกชิ้นมาเต็มคัน แต่เมื่อมาถึงบริเวณหน้าตลาด กลับพบว่ารถพ่วงท้ายไม่สามารถไปต่อได้เนื่องจากยางแบน จึงได้มีการหยุดรถเพื่อขนส่งต่อด้วยการแยกคัน ทั้งคู่ก็ยังมีลักษณะสามัคคีช่วยเหลือกันอย่างดี ไม่ได้มีท่าทีถึงความขัดแย้ง
ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการคุมตัวนายกิตติวัฒน์ สอบปากคำตั้งแต่เมื่อช่วงเช้ามืด 05.00 น. ระหว่างการสอบปากคำได้มีการสอบถามเกี่ยวกับพฤติการณ์และการก่อเหตุ นายกิตติวัฒน์ มีการให้การวกไปวนมา สภาพอยู่ในอาการมึนเมายาเสพติด มีการให้ปากคำไม่ตรง จึงทำให้ต้องมีการพักการสอบปากคำเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตรวจสารเสพติดมียาหลงเหลืออยู่ในร่างกาย เจ้าหน้าที่จึงต้องมีการตรวจค้นที่เกิดเหตุเพิ่มเติม เพื่อที่จะหาของกลางโดยเฉพาะอุปกรณ์เสพยาเสพ
เมื่อเวลา 18.00 น. ชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ย้อนกลับไปที่โกดังลูกชิ้นที่เกิดเหตุ ปรากฏว่ามีการตรวจสอบกล่องพลาสติกซึ่งอยู่ใต้ไมโครเวฟวางอยู่กลางโกดัง พบหลอดแก้วและหลอดใส เป็นอุปกรณ์สำหรับเสพยาไอซ์ โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจยึดเพื่อส่งให้นิติตำรวจทำการตรวจสอบ เทียบเคียงกับสารเสพติดที่พบในร่างกาย จะมีการตรวจสอบเกี่ยวกับอาการจิตหลอนว่าเชื่อมโยงว่าจะเกี่ยวข้องกับสารเสพติดชนิดดังกล่าวหรือไม่
และเมื่อเวลา 18.30 น. พ.ต.อ.อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.ไชยา มีการเบิกตัวนายกิตติวัฒน์ ออกจากห้องสอบสวน เดินทางขึ้นรถชุดสืบสวนไปที่บ้าน เพื่อเป็นการตรวจหาของกลางเพิ่มเติม โดยเฉพาะระบบบันทึกกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุที่หายไป จากที่เกิดเหตุ โทรศัพท์มือถือที่ยังหาไม่เจอ และยาเสพติดที่เจ้าตัวอ้างว่ามีการเสพ รวมทั้งได้มีการตรวจหาอาวุธปืนเพิ่มเติม เพื่อที่จะมาใช้ในการประกอบสำนวน เบื้องต้นจากการตรวจค้นพนักงานสอบสวนไม่เจอหลักฐานเพิ่มเติมภายในบ้าน จึงได้พาตัวกลับมาที่โรงพักเหมือนเดิม
เวลา 19.00น. ระหว่างที่นำตัวนายกิตติวัฒน์ หรือ มิว แจ้งอักษร ผู้ต้องหาขึ้นรถกลับไปโรงพัก เจ้าตัวเปิดใจว่า วันเกิดเหตุนายพงษ์เพชร คนตาย ได้เข้ามาที่โกดังลูกชิ้นจริง คนตายมีลักษณะเป็นเงาอยู่ในโกดัง ทำให้เข้าใจผิด และมีการก่อเหตุยิง แต่ก่อนหน้านี้ได้มีการตะโกนเรียกถามแล้ว ซึ่งไม่ได้ยินคำตอบ และไม่รู้ว่าเป็นเพื่อน
ทั้งนี้ ตนเองรู้จักกับนายพงษ์เพชร ในฐานะเพื่อนมานานแล้ว แต่แยกไม่ออกว่าเพื่อนหรือว่าโจร เนื่องจากในคืนดังกล่าวภายในโกดังเก็บลูกชิ้นค่อนข้างมืด แต่ในการก่อเหตุไม่ได้มีการนัดหมายเพื่อไปเสพยาเสพติดในสถานที่ดังกล่าว ตนเองเพียงแค่เข้าไปแต่เห็นเงาเพื่อนคล้ายโจรจึงได้มีการยิงเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่ 4 นัด แต่เป็นการยิงมากกว่านั้น ส่วนที่เหลือจะขอให้การในชั้นพนักงานสอบสวนและรอให้การในชั้นศาล
นางสาวกีต้า (นามสมมติ) พี่สาวของมือยิง เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุยอมรับว่าคนในครอบครัวไม่อยู่ในโกดัง ส่วนใหญ่จะแยกกันขาย ตนเองก็จะขายอยู่ที่อีกตลาดหนึ่ง แต่จะแวะเวียนมาเอาลูกชิ้นบ้างบางครั้ง คืนนั้นก็มีเพียงน้องชายที่อยู่ที่โกดัง ดังนั้นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุจึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทราบภายหลังว่าน้องชายไปรับสารภาพกับพนักงานสอบสวนที่โรงพักว่ามีการก่อเหตุยิงนายพงษ์เพชร เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นโจรบุกเข้ามาขโมยสินค้าในโกดัง
ยอมรับว่าครั้งแรกที่ทราบข่าวก็ตกใจ แต่โดยปกติน้องชายก็เป็นคนดี ช่วยงานที่บ้าน รับช่วงจากพ่อแม่ที่เพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน เข้ามาทำธุรกิจดูแลเรื่องของโกดังขายลูกชิ้น และแผงขายในตลาดเช้า ก่อนหน้านี้พ่อแม่เป็นคนดูแล หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตไปได้ประมาณ 6 เดือน นายกิตติวัฒน์ก็เข้ามาดูแลแทน ส่วนในเรื่องของอาวุธปืน น้องชายได้รับปืนมรดกตกทอด มีพกติดตัวหรือเก็บไว้ที่บ้านบางส่วน เพราะเป็นปืนจากพ่อ
หลังจากที่เกิดเหตุแล้ว น้องชายหลบหนีออกจากพื้นที่ ก่อนที่ญาติเดินทางมาที่โกดังเพื่อจะเบิกลูกชิ้นไปจำหน่ายที่ตลาดอื่น แต่ไม่เจอนายกิตติวัฒน์ ซึ่งก็พยามตามตัวอยู่นาน จนกระทั่งได้กุญแจมาเปิดเข้าไปในโกดังพบศพของนายพงษ์เพชรนอนเสียชีวิตอยู่ด้านใน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเสียใจกับเหตุการณ์ทีครั้งนี้ เพราะไม่คิดว่าน้องชายจะไปก่อเหตุยิงนายพงษ์เพชร ซึ่งก็เป็นเสมือนเพื่อนที่ไปมาหาสู่กัน ส่วนตัวอยากจะฝากขอโทษแทนน้องชายไปยังครอบครัวของคนตาย ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดเหมือนกัน ส่วนเรื่องแนวทางการประกันตัวนั้นยังไม่ทราบ เพราะตอนนี้ยังต้องจัดการหลายเรื่อง จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะประกันตัวหรือไม่
ทีมข่าวเก็บภาพบรรยากาศช่วงกลางคืน หลังจากที่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออกจากตลาดไปหมดแล้ว ตลาดดังกล่าวจะมีการเปิดไฟสองสว่างเอาไว้เป็นจุด ๆ ซึ่งไม่ได้มีลักษณะมืดสนิท สามารถมองเห็นลักษณะความเคลื่อนไหว และบุคคลที่อยู่ภายในตลาดได้ โกดังเก็บลูกชิ้นได้มีการเปิดไฟส่องสว่างด้านใน หากมีการปิดไฟก็ยังคงมีแสงไฟจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาพอมองเห็นลักษณะตัวบุคคล