กรณีที่ น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกุล หรือ ฟ้า พรทิพา เจ้าของสถานีฟ้าให้ทีวี เข้าแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด เพื่อแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินการขอความช่วยเหลือให้ลูกชาย ซึ่งเป็นสาวประเภท 2 หลังเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนที่ประเทศเกาหลีใต้ และถูกกักขังไว้ในห้องอาคารคล้ายคอนโดฯ ก่อนจะบังคับถ่ายภาพโป๊ และบังคับให้ขายบริการทางเพศ
วันที่ 1 ม.ค.62
น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกุล แม่ของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.61 น้องเต้เน่ ลูกเป็นสาวประเภทสอง ทักมาหาตน พร้อมบอกว่าจะไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ เนื่องจากเพื่อนช่วยไปดูคาบาเร่ โดยเพื่อนเป็นคนออกค่าเครื่องบินให้ทั้งหมด พร้อมทั้งบอกอีกว่ารู้จักเพื่อนคนนี้ ขณะนั้นตนพยายามปฏิเสธไม่ให้ลูกเดินทาง เพราะเห็นว่าเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกของลูก กระทั่งทราบจากพนักงานที่สถานีว่าไปส่งลูก และเพื่อนของลูกที่สนามบิน แต่เมื่อตนขอให้พนักงานที่สถานีถ่ายรูปเพื่อนรายนี้มาให้ดู เพื่อนคนดังกล่าวกลับปฏิเสธ ตนจึงเริ่มเกิดข้อสงสัย
ต่อมา วันที่ 30 ธ.ค. 61 พนักงานที่สถานีเล่าให้ตนฟังว่า ลูกตนเดินทางถึงประเทศเกาหลีใต้แล้ว แต่ต้องการขอความช่วยเหลือให้พากลับมาประเทศไทย เนื่องจากถูกหลอกให้ไปขายตัว โดยลูกตนเริ่มเห็นข้อพิรุธคือ เมื่อไปถึงห้องพักที่จองไว้ กลับมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาจากห้องดังกล่าว ส่วนเพื่อนที่เดินทางไปกับลูก ก็ไปส่งแค่หน้าห้องพักเท่านั้น ลูกตนจึงแอบถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่เปิดประตูเข้าไปในห้องพัก พบว่าภายในห้อง มีสาวประเภทสองชาวไทย 3 คน นั่งดื่มเครื่องดื่มอยู่ บางคนเปลือยท่อนบน พร้อมกล่าวทักทาย จากนั้นเมื่อลูกตน ขอทั้ง 3 คนไปซื้อของด้านล่างห้องพัก กลับไม่มีใครยินยอมให้ออกจากห้อง และเมื่อถามว่า เมื่อไรจะพาไปดูการแสดงคาบาเร่ จึงทราบความจริงว่าสถานที่แห่งนี้ ไม่ได้เป็นที่พักให้ผู้เข้าชมคาบาเร่ แต่เป็นสถานที่ขายตัว
จากนั้น คนกลุ่มนี้จึงให้ลูกตนแต่งหน้า พร้อมกับเปลือยกายถ่ายภาพ เมื่อลูกได้ยินเช่นนั้น จึงเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายคลิปร้องไห้ส่งมา เพื่อขอความช่วยเหลือกับครอบครัว ตนยอมรับว่าขณะนั้นรู้สึกโมโห ที่ลูกที่ไม่เชื่อฟัง แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า ควรให้คำแนะนำลูก จึงแนะนำให้ลูกทำตามที่คนเหล่านั้นสั่ง เพื่อให้เอาชีวิตรอดกลับมา และบอกให้ลูกสู้กับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ โดยส่วนตัวเชื่อว่าเพื่อนลูกคือนางนกต่อแน่นอน
กระทั่ง วานนี้ (31 ธ.ค. 61) ตนเดินทางไปแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแนะนำให้ไปประสานกับกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) เพื่อเร่งช่วยเหลือ และจากนั้นได้มีการประสานกับบุคคลที่อยู่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อช่วยเหลือพาลูกตนออกมา
เบื้องต้น โชคดีที่ลูกชายคนโต มีเพื่อนอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ จึงสามารถให้ความช่วยเหลือ เตรียมรถแท็กซี่เพื่อรับลูกตนออกมา โดยนัดแนะเวลากับลูกเพื่อให้หนีออกมาจากห้องช่วงที่บุคคลเหล่านั้นหลับ จากนั้น ลูกตนจึงแอบวิ่งหนีออกมาโดยพกแค่หนังสือเดินทางติดตัวมา แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวม ขณะนี้ลูกกำลังเดินทางกลับประเทศไทย คาดว่าจะถึงในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันนี้ โดยได้เพื่อนของเจ้าหน้าที่ ปคม. ให้ช่วยเหลือเบื้องต้นเรื่องการเดินทาง
น.ส.พรทิพา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนมองว่าผู้ที่ทำพฤติกรรมเช่นนี้ ถือว่าฆ่าชีวิตคนทั้งเป็น และหากินบนชีวิตของคน กรณีดังกล่าวนี้ถือเป็นประสบการณ์สอนลูกตนอย่างมาก ตนต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ซึ่งให้การช่วยเหลือ และสุดท้ายนี้ ต้องการให้หน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ จัดการให้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป และเท่าที่สังเกต คนกลุ่มนี้มักสร้างเฟซบุ๊กหรือไลน์ขึ้นมาเพื่อหลอกลวงคน ซึ่งหากแอปฯ เหล่านี้มีการให้ทุกคนใช้ชื่อนามสกุลจริง ก็คงจะมีความปลอดภัยมากขึ้น