กรณี ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (กก.1 บก.อคฝ.) ขี่รถบิ๊กไบก์ยี่ห้อ ดูคาติ รุ่นมอนสเตอร์ ทะเบียน 1 กผ 9942 เชียงราย พุ่งชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจักษุวิทยา ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลาย จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต
ต่อมา ส.ต.ต.นรวิชญ์ พร้อมด้วยร.ต.ต.นิคม บัวดก ผบ.หมู่งาน จราจร สน.ปทุมวัน ผู้เป็นพ่อ เดินทางไปอุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดปริวาสราชสงคราม ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับหมอกระต่าย
ล่าสุดวันที่ 25 ม.ค.65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปยังวัดปริวาสราชสงคราม แต่ไม่พบพระทั้ง 2 รูป ซึ่งจากการสอบถาม ทราบว่าจำวัดอยู่บนกุฏิ ไม่ได้ลงมาฉันภัตตาหารเพล เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพราะทางวัดจัดภัตตาหารให้ฉันภายในกุฏิ เเละไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พระนรวิชญ์ เตรียมจะสึกภายในเร็ว ๆ นี้ หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากเจ้าตัวมีความผิดคดีอาญาติดตัว จากนั้นเวลา 17.00 น. พระนรวิชญ์ และพระนิคม ได้เดินทางไปที่วัดพระศรีวรมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน เพื่อร่วมงานศพของ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย
โดยก่อนจะเดินทางไปร่วมงานศพ พระนรวิชญ์ กล่าวว่า ในวันนี้ต้องการไปเคารพศพหมอกระต่ายเป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะสึกในวันพรุ่งนี้ (26 ม.ค.65) สำหรับสาเหตุนั้นไม่เกี่ยวกับกระแสดราม่า ส่วนสภาพจิตใจยังคงไม่ดี เเละยังเสียใจ ซึ่งตอนที่เข้าไปหาครอบครัวของหมอกระต่าย ก็ได้ไปขอขมาศพและขอโทษครอบครัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเรื่องรถบิ๊กไบก์ซื้อมาจากร้านขายแห่งหนึ่งจะครบเดือนแล้ว ตนยืนยันว่าซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เอกสารทุกอย่างครบ และส่งมอบให้ร้อยเวรทั้งหมดแล้ว
เวลา 18.10 น. ที่ศาลา 3 วัดพระศรีวรมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน พระนรวิชญ์ บัวดก พร้อมพระพ่อ เดินทางด้วยรถกระบะ ทะเบียน 7 กอ 7483 มาร่วมฟังงานสวดอภิธรรมศพ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย เป็นคืนที่ 3
โดยพระนรวิชญ์ ยังคงพันผ้าพันแผลที่แขนขวา และมีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะตอบคำถามสื่อมวลชนสั้น ๆ เพียงว่า ขอเข้าไปร่วมงานก่อน และย้ำว่ารถบิ๊กไบก์คันดังกล่าวได้ซื้อขายมาอย่างถูกต้อง จากนั้นพระนรวิชญ์ และพระพ่อ จึงได้เดินไปนั่งฟังการสวดพระอภิธรรมศพหมอกระต่าย
ทีมข่าวเดินทางไปพูดคุยกับ พระครูสถิตย์ ยุญวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดด่านและเจ้าคณะเขตยานนาวา ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ที่บวชให้กับพระนรวิชญ์และพระนิคม ซึ่งวันนี้พบว่ามีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนา เดินทางมาที่วัด เพื่อทำความเข้าใจกับพระอุปฌา ถึงกรณีที่บวชให้กับพระสองพ่อลูก
พระครูสถิตย์ ยุญวัฒน์ พระอุปฌา เปิดเผยว่า เจ้าอาวาสวัดปริวาสราชสงคราม โทรศัพท์มาบอกกับอาตมาว่าขอให้ช่วยไปทำพิธีบวชให้กับตำรวจทั้ง 2 นาย ในเวลา 15.00 น. โดยใช้คำว่า "ขอให้ช่วยสงเคราะห์" ซึ่งอาตมากับเจ้าอาวาสวัดปริวาสราชสงคราม มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จึงเดินทางไปบวชให้โดยไม่ได้ถามเหตุผลหรือรายละเอียด เพราะปกติแล้วการรับบวชจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของเจ้าอาวาสมาแล้ว โดยตำรวจทั้ง 2 นายบอกว่า "จะบวชเป็นเวลา 3 วัน"
ทั้งนี้ หากยึดตามเงื่อนไขรายละเอียดตามที่มหาเถรสมาคมระบุไว้ ผู้ที่จะมาบวชจะต้องถูกตรวจสอบประวัติจากเลขบัตรประชาชน เพื่อป้องกันบุคคลที่หนีคดีมาบวช และหากเป็นผู้ต้องหา ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดี แม้ศาลจะยังไม่ตัดสินความผิด แต่หากต้องมีนัดรายงานตัวก็ไม่ควรให้บวช เพราะการห่มผ้าเหลืองไปรายงานตัวเรื่องทางคดีอาญานั้น ถือว่าไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ สำหรับกรณีของข้าราชการที่จะบวช ตามหลักแล้วต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้างาน โดยต้องมีการรับรองเซ็นเอกสาร และใช้อ่านในโบสถ์ขณะทำพิธีบวชด้วย แต่กรณีของพระนรวิชญ์ ไม่ได้มีเอกสาร แต่ผู้บังคับบัญชายศพลตำรวจตรี เดินทางมารับรองในพิธีด้วยตัวเอง มีตำรวจมาร่วมพิธีเต็มโบสถ์ ซึ่งอาตมาก็เพิ่งเคยเจอกรณีเช่นนี้ครั้งแรก
บรรยากาศในการทำพิธีบวชนั้น อาตมาสังเกตเห็นว่า พระนรวิชญ์แสดงอาการชัดเจนว่ากำลังมีปัญหาอยู่ภายในจิตใจ ดูแล้วน่าเป็นห่วง คล้ายอาการของคนซึมเศร้า อาตมาก็ได้เทศน์สอนว่า การบวชไม่สามารถลบล้างสิ่งที่กระทำลงไปได้ พ่อของพระนรวิชญ์ ก็ตื้นตันถึงขั้นร้องไห้ออกมา แต่อาตมาก็ไม่ได้ถามเพราะโดยมารยาทไม่ควรก้าวล่วงเรื่องส่วนตัว จึงได้แนะนำว่าบวชแล้วก็ให้เน้นปฏิบัติธรรมด้วยการเข้ากรรมฐาน เพื่อบำบัดจิตใจ ซึ่งอาตมาก็ประเมินว่าเหตุที่เจ้าอาวาสอนุญาตให้บวช เป็นเพราะมองเรื่องจิตใจเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องกฎเกณฑ์มาทีหลัง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังบวชแล้ว ปรากฏว่าเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง อีกทั้งเจ้าอาวาสวัดปริวาสราชสงคราม ก็ได้รับการติดต่อจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อาจจะเป็นเพราะการบวชที่น่าจะไม่ถูกต้อง ซึ่งเจ้าอาวาสวัดปริวาสราชสงครามก็บอกกับอาตมาว่า ทางเดียวที่จะระงับปัญหาได้ ก็คือต้องให้พระนรวิชญ์สึกทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมที่จะสึก เบื้องต้นกำหนดไว้ว่า ในเย็นวันนี้จะไปร่วมพิธีศพของผู้เสียชีวิตอีก 1 วัน แล้วจะกลับมาสึกที่วัด แต่จะยังคงให้นุ่งขาวห่มขาว ถือศีล 8 ต่อไป ส่วนพระพ่อ จะบวชต่อให้ครบกำหนด 3 วัน
เวลา 19.10 น. พระนรวิชญ์ และพระนิคม ได้เดินเข้าไปในศาลาเพื่อเคารพศพหมอกระต่าย ด้วยการยืนสงบนิ่งหน้าโลงศพเป็นเวลา 1 นาที ก่อนจะเดินทางกลับทันที
เวลา 20.00 น. พระนรวิชญ์ และพระนิคม จึงเดินทางกลับไปถึงวัดปริวาสราชสงคราม ย่านพระราม 3 เเละได้เดินเข้ากุฏิเพื่อจำวัดทันที
ทีมข่าวสอบถาม นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความอิสระ วิเคราะห์ให้ฟังว่า กรณีการบวชให้กับผู้ต้องหาคดีอาญา ซึ่งทางกฎหมายไม่ได้มีความผิด เพราะไม่มีกกฎหมายห้ามบวช มีเพียงแต่กฎของมหาเถรสมาคม ซึ่งตั้งกฎขึ้นมาในปี 2536 เกี่ยวกับการพิจารณาบุคคลต้องห้ามในการบวช จะใช้กับพระอุปัชฌาย์ ซึ่งข้อหนึ่งที่ห้ามบวชคือ "ต้องคดีอาญา" กฎนี้ใช้บังคับกับพระเท่านั้น และเป็นกฎที่ใช้ดุลพินิจ ต้องดูจากเจตนาของผู้บวช พระอุปัชฌาย์ก็ไม่ได้ผิดอะไร บางครั้งอาจจะดูไม่เหมาะสมเท่านั้นเอง เพราะหากมีคดีต้องขึ้นศาล การแต่งจีวรอาจจะไม่เหมาะ
แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายคดีที่บุคคลต้องคดีอาญาและบวชเป็นพระ อย่างกรณี นายสมชาย หรือ เสี่ยเบนซ์ เป็นคดีเมื่อปี 2564 ขณะนั้นเสี่ยเบนซ์ชดใช้เงินให้ลูกผู้เสียชีวิต จำนวน 45 ล้านบาท และไปบวชเป็นพระ ซึ่งเจตนาของเสี่ยเบนซ์เพื่ออุทิศกุศล ไม่ได้มีเจตนาบวชเพื่อหลบหนีคดี หากเทียบกับสิบตำรวจตรีท่านนี้แล้ว ก็คล้าย ๆ กัน เพราะเสี่ยเบนซ์ชนคนตาย 2 ศพ และยังเมาแล้วขับ แต่กลับยังมีสิทธิ์จะบวชได้ ดังนั้น เป็นดุลพินิจของพระอุปัชฌาย์