หนุ่มฆ่ารัดคอแฟนชาย หลังคบแค่สัปดาห์ อ้างชั่ววูบเพราะฤทธิ์ยา ก่อนขโมยรถหนี สวมรอยไลน์ขอเงินญาติผู้ตาย (คลิป)

จากกรณี นายปรัชญา อำนรรฆมณี อายุ 59 ปี หุ้นส่วนร้านนวดแผนไทย ย่านพหลโยธิน ถูกพบเป็นศพ สภาพนอนคว่ำหน้า ที่คอถูกรัดด้วยสายไฟไว้ 5 รอบ เสียชีวิตภายในห้องพักที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง เขตดอนเมือง

ล่าสุด วันที่ 7 ม.ค. 62 ตำรวจจับกุมตัวชายคนดังกล่าวได้แล้ว คือนายอธิพันธ์ พิมพ์เรือง อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นหนุ่มที่คบหากับผู้เสียชีวิต โดยจับกุมได้ที่อะพาร์ตเมนท์ ย่านสะพานใหม่ ก่อนคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่คอนโดมิเนียมเกิดเหตุ ชี้จุดบริเวณเตียงภายในห้องนอน ซึ่งเป็นจุดที่ก่อเหตุขึ้นคร่อมบนตัวของนายปรัชญา แล้วใช้สายไฟรัดคอจนเสียชีวิต

นายอธิพันธ์ กล่าวว่า คบกับผู้ตายมาได้เพียง 1 สัปดาห์ และมีปัญหาเรื่องหึงหวงกัน เหตุที่ตัดสินใจฆ่าอีกฝ่าย เพราะตนต้องการกลับบ้าน แต่อีกฝ่ายขู่ว่าหากออกจากห้องไปจะแจ้งตำรวจจับ เนื่องจากตนและผู้ตายเสพยาทั้งคู่ ด้วยความกลัวจึงลงมือก่อเหตุ ซึ่งในคืนที่เกิดเหตุ ตนก็เสพยา เพราะผู้ตายบังคับ ส่วนที่ขโมยรถและทรัพย์สินไปเพราะไม่มีเงินใช้ ตนอยากขอโทษ เพราะทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โดยตอนแรกคิดว่าอยากบวชให้อีกฝ่าย ทั้งนี้ ตนใช้เวลา 10 นาที ในการรัดคอเสียชีวิต

พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า คดีนี้เริ่มต้นจากการที่ญาติเข้ามาแจ้งความว่านายปรัชญาหายตัวไป ซึ่งช่วงที่นายปรัชญาเสียชีวิตแล้ว ยังมีข้อความส่งมาหาญาติเพื่อขอเงิน โดยผู้ต้องหารับสารภาพว่าเป็นคนส่งไลน์มาหาญาติผู้ตาย เพื่อให้คิดว่าผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงเจ้าตัวต้องการใช้เงิน แต่ไม่มีใครโอนมาให้ เนื่องจากลักษณะการสนทนาของผู้ตายไม่เหมือนเดิม โดยผู้ตายกับผู้ต้องหาคบหากันมาประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากมีผู้แนะนำให้รู้จักกัน และอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 61 สาเหตุที่ลงมือฆ่าอีกฝ่าย เพราะความหึงหวง และฤทธิ์ยาเสพติด ซึ่งผู้ต้องหาให้การว่าวันเกิดเหตุเสพยาด้วยกันทั้งคู่

ซึ่งจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบยาไอซ์กับเข็มฉีดยา และยาต้านไวรัส แต่ไม่ยืนยันว่าเจ้าตัวเป็นผู้ป่วย HIV หรือไม่ ทั้งนี้ หลังก่อเหตุผู้ต้องหายังใช้ชีวิตปกติ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (6 ม.ค. 62) ยังนัดคู่ขาอีกรายทานข้าวย่านเพิ่มสิน แต่ก่อนหน้านี้ได้หลบหนีไปต่างจังหวัดใน อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ ก่อนกลับมากรุงเทพฯ เบื้องต้นแจ้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและชิงทรัพย์ ก่อนนำตัวไปดำเนินการทางกฏหมายต่อไป