กรณีนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคม กระทรวงยุติธรรม นำตัวนางเอ (นามสมมติ) อายุ 31 ปี อาชีพแคดดี้ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ดำรง เอี่ยมไพโรจน์ ผกก.สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดี
โดยก่อนหน้านี้ นางเอ ได้เข้าไปร้องเรียนมูลนิธิปวีณาฯ ว่าถูก 2 คนร้ายสาดน้ำกรดใส่ใบหน้าและตามลำตัวจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลนานกว่า 3 เดือน จึงขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเร่งรัดการจับตัวคนร้าย เพราะเกรงว่าจะหวนกลับมาทำร้ายซ้ำอีก ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 3 ก.พ.65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวมือสาดน้ำกรดได้แล้ว ทีมข่าวเดินทางไปยัง สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พบว่า เวลา 13.00 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้พานางเอ (นามสมมติ) เข้าพบ พ.ต.อ.ดำรง เอี่ยมไพโรจน์ ผกก.สภ.หนองปรือ เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม หลังจากพ.ต.อ.ดำรง แจ้งให้นางปวีณา ทราบว่าจับคนร้ายได้แล้ว ทราบชื่อนายณัฐพงศ์ พละเยี่ยม อายุ 36 ปี อดีตสามีซึ่งเป็นมือสาดน้ำกรด พร้อมคุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
พ.ต.อ.ดำรง เอี่ยมไพโรจน์ ผกก.สภ.หนองปรือ กล่าวว่า ในวันที่ 22 ก.ย. 64 เวลาประมาณ 18.45 น. นายแฉล้ม บุญลาภ ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.จีระศักดิ์ แอบแฝง สว.(สอบสวน) สภ.หนองปรือ ว่านางเอ (นามสมมติ) ลูกสาวถูกคนร้ายใช้น้ำกรดสาดใส่ใบหน้าบาดเจ็บสาหัส ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลชลบุรี จากการรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่าผู้ก่อเหตุ คือ นายณัฐพงษ์ พละเยี่ยม ซึ่งเป็นอดีตสามีของผู้เสียหาย
โดยนายณัฐพงษ์ ใช้เฟซบุ๊กปลอมขึ้นมาตั้งชื่อว่า "โบว์น้อย ตัวแสบ" ก่อนจะส่งข้อความไปหาอ้างว่าจะจัดหาเงินกู้รายเดือนให้ได้ ทำให้ผู้เสียหายเชื่อและได้ตกลงจะนำสำเนาบัตรประชาชนไปให้ ซึ่งในวันเกิดเหตุ นายณัฐพงษ์ เป็นผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โดยมีนายฐิติกร จันทร์ดี ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของนายณัฐพงษ์ เป็นผู้ขับขี่ ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนใส่เสื้อคลุมแขนยาว สวมหมวกกันน็อกและใส่แมสก์เพื่อปิดปังใบหน้า
เมื่อผู้เสียหายมาถึงจุดนัดรับเอกสาร ก็ได้เดินลงมาจากรถเก๋ง เพื่อยืนเอกสารที่ใช้สำหรับกู้เงิน จากนั้นนายณัฐพงษ์ ก็ขอดูเอกสารดังกล่าว เมื่อดูเสร็จก็ได้ยื่นเอกสารคืนให้กับผู้เสียหาย และได้ใช้ น้ำกรดที่เตรียมมาสาดใส่ใบหน้าของผู้เสียหาย ก่อนที่นายณัฐพงษ์ และนายฐิติกร จะขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไป
ต่อมาวันที่ 2 ก.พ.65 ศาลจังหวัดพัทยา ได้อนุมัติออกหมายจับนายณัฐพงษ์ ตามหมายจับของศาลจังหวัดพัทยา ที่ 44/2565 ลง 2 ก.พ.65 ข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองปรือ จึงสามารถติดตามจับกุมนายณัฐพงษ์ตามหมายจับได้ในที่สุด
โดยนายณัฐพงษ์ ให้การรับสารภาพหา นายฐิติกร เป็นผู้ร่วมก่อเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.หนองปรือ จึงได้เชิญตัวนายฐิติกร ผู้ร่วมก่อเหตุมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา และตรวจยึดรถจักรยานยนต์คันที่ใช้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
นางเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า กรณีที่เกิดขึ้นเริ่มจากในอดีตตนอยู่กับนายณัฐพงศ์ อดีตสามี ที่อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 4 ขวบ คนเล็ก อายุ 3 ขวบ ขณะนั้นสามีประกอบอาชีพรับจ้าง ส่วนตนมีหน้าที่เป็นแม่บ้าน
ปลายปี 2563 นายณัฐพงศ์ ตกงาน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ตนจึงออกหางานทำเป็นแคดดี้ที่สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ทำให้สามีมีอาการหึงหวง และทะเลาะกันบ่อยครั้ง จึงเป็นสาเหตุให้เลิกรากันตั้งแต่เดือนเม.ย.64 ส่วนลูกทั้ง 2 คนไปอยู่กับสามี
จากนั้นตนก็ออกมาเช่าบ้านอยู่ และได้คบหากับชายคนหนึ่งวัย 53 ปี ที่ทำงานที่เดียวกัน ซึ่งชายดังกล่าวก็มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่พอนายณัฐพงศ์ ทราบเรื่อง ก็ได้มาง้อขอคืนดี ต่อมาตนได้ย้ายมาอาศัยอยู่กับญาติและพาลูกทั้ง 2 คนมาอยู่ด้วย ซึ่ง นายณัฐพงศ์ ก็ยังตามมาง้อขอคืนดี แต่ตนก็ไม่ยินยอม ทำให้นายณัฐพงศ์ เกิดความไม่พอใจ จึงได้ต่อว่าด่าทอ รวมถึงไปบอกคนอื่นว่า “ถ้าเค้าไม่ได้ คนอื่นก็ไม่ได้ และเจอที่ไหนจะยิงทิ้ง”
ต่อมาวันที่ 18 ก.ค.64 เวลา 21.00 น. ตนได้ขับรถไปหาเพื่อนที่ อ.ศรีราชา เมื่อถึงที่ลานจอดรถคอนโดฯ แห่งหนึ่ง ได้เจอกับนายณัฐพงศ์ ซึ่งสะกดรอยตามมา จากนั้นจึงมีปากเสียงกัน และนายณัฐพงศ์ ได้ขี่รถจักรยานยนต์ชนท้ายและขับปาดหน้า กระทั่งวันที่ 19 ก.ค.64 ตนจึงไปแจ้งความที่ สภ.ศรีราชา ที่นายณัฐพงศ์ ขี่รถชนตนและพูดจาข่มขู่หมายจะเอาชีวิต
หลังจากนั้นวันที่ 21 ก.ย.64 ได้มีคนโทรมาหาตนว่าสนใจกู้เงินหรือไม่ ซึ่งตนตอบว่าสนใจ จึงนัดเจอยื่นเอกสารในวันรุ่งขึ้นช่วงบ่ายวันที่ 22 ก.ย.64 บริเวณซอยห้วยยายมุก ต.โป่ง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และได้พบชาย 2 คน ขี่รถมารูปร่างผอม 1 คน และอ้วน 1 คน จากนั้นชายรูปร่างผอม เดินมาหาเพื่อรับเอกสาร สักพักชายร่างอ้วน มาทราบภายหลังว่าคือนายณัฐพงศ์ ได้เดินเข้ามาสมทบ โดยในมือถือแก้วน้ำพร้อมกับสาดเข้าที่ใบหน้าและลำตัวของตน ก่อนจะรู้ว่าเป็นน้ำกรด
อย่างไรก็ตาม ตนได้ตั้งสติขับรถยนต์กลับไปบ้าน และใช้น้ำมาราดตัว ก่อนที่ญาติจะพาไปส่ง รพ.บางละมุง เจ้าหน้าที่จึงส่งไปรักษาตัวต่อที่ รพ.ชลบุรี ตนนอนรักษาตัวอยู่ 3 เดือน ส่วนญาติได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี กระทั่งวันที่ 7 ม.ค.65 ตนออกมารักษาตัวอยู่บ้าน และระหว่างอยู่โรงพยาบาลนั้น ร้อยเวรมาสอบปากคำแค่ครั้งเดียว แลวก็เงียบไป ตนจึงมาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยติดตามคดี
"ตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้สำเร็จ หนูก็รู้สึกดีใจ และอยากขอบคุณ ส่วนอาการบาดเจ็บ แผลที่ถูกน้ำกรดสาดตอนนี้แผลก็เริ่มตึงกว่าเดิม ปากเริ่มเบี้ยว ปวดแสบร้อน ไม่สามารถออกแดดได้ เนื่องจากผิวหนังที่ถูกน้ำกรดสาดจะมีสภาพไวต่อแสง แพทย์จึงมีคำสั่งห้ามโดนแดด สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนูก็เพิ่งมาทราบพร้อมกับตำรวจว่า ผู้ก่อเหตุคือแฟนเก่า ในเวลาที่หนูโทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับลูก เจ้าตัวเองก็มีการสอบถามบางว่า บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้หนูรู้สึกว่าหนูก็เป็นแม่ของลูกเขา ไม่น่าจะมาก่อเหตุในลักษณะแบบนี้เลย" ผู้เสียหาย กล่าวทิ้งท้าย
นางปวีณา กล่าวว่า สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นตนอยากขอบคุณ พ.ต.อ.ดำรง และตำรวจสภ.หนองปรือ ที่ช่วยคลี่คลายคดีจนสำเร็จ และขอบคุณนางมนัสนันท์ ศุภพิทักษ์สกุล พัฒนาสังคมฯ และนางนัทธมน กิจดำรงกุล หัวหน้าบ้านพักเด็กฯ จ.ชลบุรี ที่ให้ความช่วยเหลือพาลูกสาว 2 คนของผู้เสียหาย กลับมาอยู่ในอ้อมอกของคนเป็นแม่
โดยหลังจากนี้ตนจะประสานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยรักษาบาดแผลผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนางเอ ยังมีอาการเจ็บบาดแผลทั้งตัว ทำให้นอนไม่หลับ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัด ตบแต่งบาดแผล ซึ่งจะต้องใช้เวลารักษานานพอสมควร เพราะนอกจากบาดแผลทางร่างกายแล้ว จะต้องดูแลบาดแผลทางจิตใจด้วย ซึ่งมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามให้การช่วยเหลือเพื่อให้นางเอ กลับสู่สังคมได้อย่างปกติต่อไป
หลังจากการประชุมสรุปคดีเสร็จสิ้น พบว่าเจ้าหน้าตำรวจได้คุมตัวนายณัฐพงศ์ พละเยี่ยม อายุ 36 ปี และนายฐิติกร จันทร์ดี ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 ราย ขึ้นรถตำรวจเตรียมส่งฝากขังศาลจังหวัดชุลบุรี โดยในระหว่างที่ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 ราย กำลังถูกคุมตัวนำขึ้นรถตำรวจนั้น ทีมข่าวได้พยายามสอบถามความรู้สึก แต่เจ้าตัวก็อยู่ในอาการเงียบ และไม่ตอบคำถาม หรือให้สัมภาษณ์ใด ๆ
นายประพันธ์ พี่ชายของผู้เสียหาย อายุ 40 ปี กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้ ตนก็ไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเสียใจ เนื่องจากผู้ก่อเหตุก็เคยเป็นหนึ่งในครอบครัว แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมต้องก่อเหตุอย่างรุนแรงแบบนี้ อีกทั้งมีลูกด้วยกัน ลูกก็ต้องขาดพ่อ ตนก็มองว่าคิดสั้นเกินไป โดยตนยังจำตอนที่น้องสาวโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือได้ดี "มันเป็นความรู้สึกทรมานจิตใจมาก ๆ ครับ หลังได้ยินน้องพูดว่า พี่ ๆ โดนน้ำกรด พี่ช่วยหนูด้วย ปวดแสบปวดร้อน" ขณะนั้นตนก็ได้แต่แนะนำให้ใช้น้ำเปล่าราดตัว ก่อนที่ครอบครัวจะนำส่งโรงพยาบาล สุดท้ายนี้ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเอาผิดผู้ก่อเหตุให้ถึงที่สุด