จากกรณี นายไพบูลย์ ศรีทอง อายุ 43 ปี ชาวบ้าน หมู่ 1 ต.บ้านหอย อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ได้รับหนังสือจากสรรพากรพื้นที่ปราจีนบุรี ถูกเรียกเก็บภาษีกว่า 483 ล้านบาท (อ่าน :
หนุ่มโอด! ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 848 ล้าน สงสัยถูกสวมชื่อทำธุรกิจ – ตร.แจงหลักฐานชัด แจ้ง 2 ข้อหา) ล่าสุด วันที่ 15 ม.ค. 62 นายไพบูลย์ เดินทางเข้าพบพล.ต.ต.นราเดช กลมทุกสิ่ง ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดี และติดตามความคืบหน้าทางคดี
ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ อ.ประจันตคาม ที่บริษัท มาแทน เฟอร์นิเจอร์ จำกัด ใน ต.ประจันตคาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งระบุว่าเป็นที่ตั้งของบริษัทเฟอร์นิเจอร์ พบว่าบ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่กลางอำเภอ โซนตลาด ลักษณะเป็นตึกแถวไม้ 2 ชั้น 1 คูหา ประกอบกิจการเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไป หรือคลินิกรวมแพทย์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อเติมปรับปรุงตัวอาคาร
โดยญาติของเจ้าของคลินิก ให้ข้อมูลว่า ตึกแถวนี้เปิดเป็นคลินิกมานานกว่า 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมา อาคารแห่งนี้ไม่ได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านเฟอร์นิเจอร์แต่อย่างใด แต่ทั้งนี้ก็ไม่ทราบว่าครอบครัวของเจ้าของอาคาร ว่ามีผู้ใดจะนำโฉนดอาคารไปจดสัญญาเปิดบริษัทหรือไม่
ขณะที่
นายสำฤทธิ์ ช่างฟอก อายุ 64 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ตนทำงานที่อาคารติดกับคลินิกมา 30 ปี ก็เห็นว่าอาคารดังกล่าว เป็นเพียงบ้านไม้ธรรมดาที่มีคนอยู่อาศัย ไม่เคยเห็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์มาเปิดเป็นอาคารพาณิชย์มาก่อน ซึ่งก่อนที่จะเปิดเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไปนั้น ทราบว่าเจ้าของบ้านทำงานเป็นพยาบาล
อย่างไรก็ตาม ตนไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าว และคาดว่าบริษัทแห่งนี้ไม่เคยเปิดอยู่ในอำเภอ หลังทราบข่าวเรื่องการเสียภาษี 500 ล้านบาท ที่มาเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน นั้นตนก็ยังรู้สึก แต่เรื่องความเป็นมาว่าใครเป็นคนเอาที่อยู่ไปจดทะเบียนเป็นบริษัท ตนก็ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลัง
ด้าน
นายไพบูลย์ ศรีทอง อายุ 43 ปี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ภายหลังเดินทางเข้าพบพล.ต.ต.นราเดช กลมทุกสิ่ง ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับคดี ยอมรับว่ารู้สึกสบายใจขึ้น ตนถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ซึ่งตลอดเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา ตนต้องดำเนินการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเพียงคนเดียวมาตลอด กระทั่งภาษีเพิ่มขึ้นถึง 483 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้ เพราะเงินมีจำนวนมากเกินไป
ซึ่งตนรู้สึกน้อยใจว่าทั้งที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ได้ค่าจ้างเพียงวันละ 500 บาท และต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวถึง 6 คน ทำให้เงินแทบจะไม่พออยู่แล้ว แต่กลับต้องมาถูกเรียกเก็บภาษีอย่างนี้ และต้องเดินเรื่องกระทั่งไม่มีเวลาทำมาหากิน ทำให้ขาดรายได้ ทำให้ครอบครัวตนได้รับความลำบากมาก และตนก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เคยเปิดบริษัทแน่นอน
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เรื่องที่ไปปิดบริษัทที่กรมพาณิชย์จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 61 เนื่องจากตนต้องการหยุดการเพิ่มของภาษี แต่ปรากฏว่าการปิดบริษัทนั้น ส่งผลให้เป็นการบ่งชี้ว่า ตนเป็นเจ้าของบริษัทตามกฎหมาย ทำให้เงินภาษีดังกล่าวตกมาที่ตนโดยตรง