นางเอกสาวเชียร์ ฑิฆัมพร ที่วันนี้ควงน้องชายสุดหล่อ ชู๊ต เชิดชนินทร์ เปิดโมเมนต์พี่สาวจอมห้าวสุดน่ารัก พร้อมเคลียร์ข่าวที่ชาวเน็ตเม้าท์สาวเชียร์ผันตัวเป็นเจ๊ดัน ใช้เส้นดันน้องชายเข้าวงการ อีกทั้งเปิดปมครอบครัว โดนกระแสดราม่าหลังเปิดตัวคบไฮโซบิ๊ก แถมมีข่าวแว่วๆ มาว่าสาวเชียร์จะโบกมือลาวงการบันเทิงอีกด้วย ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow
คุณบิ๊กเขาน่ารักยังไง?
เชียร์ : น่ารักมาก คือเขาจะมีความใจเย็น มีอะไรที่เหมือนเป็นการเติมเต็มแล้วกัน นิสัยบางอย่างต่างกัน แต่ก็มีจุดที่เหมือนกัน
เขาเป็นคนใจเย็นแสดงว่าเราเป็นคนใจร้อน?
เชียร์ : ใช่ คือเราเป็นคนทำอะไรเร็ว คือด้วยวิธีการทำงานเราตั้งแต่เด็กทำหลายอย่าง พอเราเจอบางอย่างที่เป็นเรื่องเดียวกัน ตัดสินใจจังหวะไม่เหมือนกัน กว่าเขาจะตัดสินใจใช้เวลา บางทีเรารีบไปมันก็ไม่ได้มีผลดีนะ ความเย็นของเขาทำให้เห็นว่าบางอย่างไม่จำเป็นต้องรีบก็ได้ มันเหมือนเติมเต็มกัน
ความแข็งแรงของเธอ เข้าใจว่าเธอชอบในสปีชีส์เดียวกัน เชื่อว่าหลายคนรู้สึกแบบนี้ แต่พอวันนี้เปิดตัวเป็นผู้หญิงหวาน ก็ขอโทษที่เข้าใจผิดมาตลอด?
เชียร์ : เชียร์ว่ามันไม่แปลก นิสัยเราเชียร์ว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ ตัวตนของเชียร์มีนิสัยเหมือนผู้ชายหลายอย่าง ถ้าถามเรื่องความรู้สึกเชียร์ว่าอยู่ที่บุคคลนะว่ามันรู้สึกดีกับใคร เราไปพอดีกับใครมากกว่า ซึ่งจริงๆ เชียร์เป็นคนเฉยๆ กับความรักมาก ไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เหมือนชีวิตเราเกิดมาโฟกัสแต่งานมาโดยตลอด แล้วการที่จะมีแฟนหรือไม่มีแฟน มันเป็นเรื่องไม่ซีเรียสเลย
ในภาพลักษณ์ที่แข็งเกร่ง พอมีความรัก มีความมุ้งมิ้งไหม?
เชียร์ : ก็ต้องถามคุณผู้ชายดู
รู้สึกตัวเองขี้อ้อนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์?
เชียร์ : ขี้อ้อนอยู่แล้วพี่ แต่ว่าความขี้อ้อนนี้เราจะไม่ได้ใช้กับคนอื่นมากนัก แม้กระทั่งกับคนในบ้านเรายังไม่อ่อนเลย
มันมีโมเมนต์ที่เชียร์ผิดนัดเขา แต่เขารอ?
เชียร์ : ไม่ใช่ครั้งเดียว บ่อยด้วย คือหลายๆ ครั้งเราไม่ได้มีเวลา เราอยากจะมีมื้อค่ำด้วยกัน แต่ว่าเราอาจจะไม่สะดวกไปข้างนอก เราก็จะนัดเขามาที่บ้าน แต่หลายครั้งมากที่เรานัดทุ่มนึง บางทีเราทำงานประชุมเลยเถิด เคยลึกไปสุดเกือบ 5 ทุ่ม แล้วเขาก็รอที่บ้าน เราก็เกรงใจบอกว่าทานข้าวกับมาม๊าไปเลยนะ เดี๋ยวจะผิดเวลาอาหารกัน ปรากฎว่ามาม๊าก็ทานอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วเรากลับมาถึงขอโทษนะมันดึกอีกแล้ว เขาก็รอที่จะกินกับเรา รู้สึกผิดมาก
แล้วไม่ใช่ครั้งเดียวเป็นอย่างนี้หลายครั้ง ด้วยงานเราบางทีมันยากจะควบคุมเหมือนกัน ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่เราขอโทษมาก เรายอมรับตามตรงเลยว่าถ้าเป็นคนอื่น หรือแม้กระทั่งเป็นเราเองเราอาจจะรู้สึกต้องมีงอนกันบ้าง แต่เขาไม่เคยงอนเลย เขาบอกไม่เป็นไรก็รอ กินพร้อมกันนี่แหละ
แบบนี้เรียกได้ไหมว่าคุณบิ๊กเขาเข้ามาเติมเต็มส่วนที่เราขาดไปในชีวิต?
เชียร์ : ถือว่ามาช่วยเติมเต็มอะไรหลายๆ อย่าง บางทีมันทำให้เรารู้สึกว่าการที่มีใครมาทำอะไรให้ขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งสิ่งนี้มันคือความยุ่งวุ่นวายในตัวเรา ในการทำงานของเรา แต่เขามีความเข้าใจ แล้วเขารู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหา นี่คือเราทำงาน เราก็รู้สึกโชคดีจังที่มีคนเข้าใจเราแบบนี้ น่ารักๆ
ล่าสุดเห็นทำช่องยูทูบด้วยกัน?
เชียร์ : ใช่ค่ะ ชื่อ Cheer up Channel ก็เป็นการเก็บภาพบรรยากาศตอนไปเที่ยวด้วยกันมาฝาก ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ มีการเดินทางด้วยกันทั้งในไทยและต่างประเทศเลย
คนนี้มีโอกาสไหม?
เชียร์ : ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น
โอกาสหมายถึงแต่งงาน คิดไหม?
เชียร์ : ก็คิดนะ คือคิดในที่นี้หมายความว่าเราคบใครเราจริงจัง ไม่ได้หมายความว่าตบปากรับคำว่าแต่ง เราไม่รู้อะไรจะเปลี่ยนแปลงยังไง จะใช่หรือไม่ใช่ในท้ายที่สุด แต่เรารู้สึกว่าเราเลือกที่จะคบเขาแล้ว เราก็จริงจังที่สุด
เขาพูดไหม?
เชียร์ : ก็พูด แต่เราอาจจะมีอะไรที่ต้องรับผิดชอบกันส่วนตัวด้วย อาจจะรอให้เวลามันเหมาะสม แต่เราก็มีความจริงใจและจริงจังซึ่งกันและกัน
วางไว้ไหมสักกี่ปี?
เชียร์ : ก็อาจจะไม่ได้นานมาก ปีนี้ก็ 3 ปีที่คบกัน ก็ค่อยๆ ดูกันไป ให้เวลาเป็นเครื่องช่วยบอกอีกที
ใน 3 ปีนี้เคมีตรงกันทั้งหมด หรือมีอะไรที่ต้องใช้เวลาในการปรับ มีอะไรบ้าง?
เชียร์ : ก่อนหน้านี้ปรับกันเยอะมากเลย วิธีคิดค่อนข้างต่างกัน แล้วบิ๊กเขาโตต่างประเทศ บางทีวิธีการใช้ชีวิตมันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ก็อาจจะมีปรับ แต่ความน่ารักคือเราคุยกันแล้วปรับเข้าหาซึ่งกันและกัน
เชียร์เป็นคนที่จริงจังกับความรักมาก แสดวว่ารักครั้งก่อนๆ ที่มันไม่ประสบความสำเร็จมันเป็นสิ่งที่คาใจเรา?
เชียร์ : มันทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้โฟกัสเรื่องความรัก แต่เมื่อเรามีเราจะจริงจังมาก มาดซะจนบางครั้งมันไม่สมหวัง กว่าเราจะถอนตัวออกมาได้ใช้เวลานานมาก หรือกว่าจะกลับมาปกติมันเป็นเรื่องยาก แล้วเราทำงานตรงนี้บางทีเราต้องสนุกสนาน แต่บางทีข้างในมันบอบช้ำ เรารู้สึกฉันเหนื่อย เราเลยรู้สึกว่าหม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีเราจะรู้ตัวดีถ้ามันไม่สมหวัง โห...หนัก
แล้วบิ๊กเขารู้ไหมว่าเราผ่านจุดนี้มา เราเข็ดมากกับความรู้สึกแย่ๆ แบบนี้ ?
เชียร์ : รู้ค่ะ แล้วเป็นสิ่งที่คุยกันเหมือนกันว่าอย่าให้มันมีอะไรไม่ดีนะ คือเชียร์จริงใจนะ ถ้าเชียร์เหมือนมีอะไรมากระทบใจ มีอะไรที่มันไม่ดี มันจะทำให้เชียร์แย่มากเลย ซึ่งเขาก็เข้าใจ
ณ วันที่เราเริ่มรู้ว่าเราเริ่มมีความรักเข้ามา เรามีความกลัวขนาดไหน กังวลไหม?
เชียร์ : ไม่ถึงกับกังวลนะ แต่กว่าที่เราจะคบกับเขาจริงๆ ใช้เวลาดูเขา 2 ปี คือไม่ได้รีบร้อน ดูว่าเขากับเราจะไปด้วยกันได้จริงๆ หรือเปล่า มันใช้เวลา ค่อยๆ
ทำไมต้องดูเขานานขนาดนั้น?
เชียร์ : จริงๆ เราเคยแม้กระทั่งปฏิเสธเขาไปแล้ว เพราะเรารู้สึกว่าไม่น่าเวิร์ก ไม่น่าใช่ คือมันไม่ใช่คุยหลายๆ คนแล้วจูงเขาไว้ แต่เรารู้สึกว่าต้องใช่จริงๆ ต้องเหมาะจริงๆ แล้วเขาเป็นเพื่อนเรามาก่อน ทีนี้พอมันค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน เราก็เลยเหมือนต้องมั่นใจ เพราะไม่ได้อยากให้มันไม่ดี
ครอบครัวว่าไง?
เชียร์ : จริงๆ ครอบครัวจะรู้มาตลอดในระยะทางที่มีคนนี้เข้ามา มีช่วงที่เราโอเค ไม่โอเคยังไง คือบางทีเรารู้สึกเห็นใจเขาเลย ตอนที่เราปฏิเสธเราบอกเขาว่า เอาความพยายามนี้ไปให้คนที่ใช่ดีกว่า เพราะเรารู้สึกเราหวังดีจริงๆ ในกึ่งเราเป็นเพื่อนกัน อยากให้เขาเจอคนที่เข้ากับเขา แต่เขาก็ไม่หยุดไง จนเรารู้สึกว่าเกิดมาไม่เคยเจอใครที่ปฎิเสธตรงๆ แล้วยังพยายามอยู่
เราแพ้ใจเขาในปีที่2 หรือตั้งแต่คบครั้งแรกแล้ว?
เชียร์ : ครั้งแรกไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เพื่อนกัน 100% มาก กว่าจะมาเปิดใจดูจริงๆ แทบจะเป็นปีด้วยซ้ำ ยาวมาก
แสดงว่าเขารักจริง มุ่งมั่นมาก?
เชียร์ : ก็ไม่รู้เขาเหมือนกันว่าแบบทำไมเขาถึงพยายามได้ขนาดนี้ แต่ถามว่าแพ้ตอนไหน เรารู้สึกว่าพอ 2 ปีมาแล้ว ไม่ใช่แค่เราแล้ว เหมือนเขาดูแลบางสิ่งบางอย่าง ครอบครัว พร้อมจะมีน้ำใจช่วยเหลือ เราก็เลยรู้สึกโอเคนะ ขอบคุณเขา
เขาดูแลครอบครัวเราดีขนาดไหน?
เชียร์ : ก็ใส่ใจมีอะไรบางอย่างก็จะนึกถึง หรือแม้กระทั่งมาทานอาหาร ตอนนี้ก็เข้าบ้านเหมือนคนในครอบครัว
แล้วเรากับครอบครัวเขาล่ะ?
เชียร์ : ก็มีความน่ารักเหมือนกันเพราะว่ามีโอกาสไปพบเจอบ้าง มีโอกาสไปทานข้าวกับคุณแม่บ้าง ก็อบอุ่น
เราสองคนเรียกว่าผ่านด่านของทั้งสองครอบครัวได้หรือยัง?
เชียร์ : เราไม่รู้นะ เราไม่ถึงขนาดคุยกับที่บ้านตรงๆ นะว่าคนนี้ผ่านไม่ผ่านยังไง เหมือนเราใช้ชีวิตปกติ มันไม่ได้มีขั้นมีตอนอะไร
ในความรู้สึกเชียร์คิดว่าผ่านไหมฝั่งคุณพ่อ คุณแม่ของแฟนเรา?
เชียร์ : อันนี้ก็ตอบไม่ได้นะ อย่างที่บอกเราพยายามเป็นปกติที่สุด เพราะเชียร์ว่าถ้าวันนึงมันจะไปข้างหน้าทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยอะไรที่ปกติ แต่ถามว่าผ่านด่านครอบครัวเราไหม ก็ต้องถามคนในครอบครัว
คุณบิ๊กผ่านด่านครอบครัวหรือยัง?
ชู๊ด : ผ่านนะครับผม ถามว่าตอนที่เขาเริ่มคุยกัน ไม่รู้ว่าเขามาปรึกษาหรือเรียกว่าอวด ว่ามีคนเข้ามาก็ไม่รู้เหมือนกันแยกไม่ออก ก็มีมาปรึกษาบ้างครับ ว่าเนี่ย ตอนนี้มีคนนี้เข้ามาคุย แต่ไม่รู้จะเอาไงดี มันจะเป็นฟิวอย่างนี้ แต่เราก็ไม่ได้แนะนำอะไร แค่คอยรับฟัง
ในมุมมองชู๊ตที่เห็นแฟนพี่เรารู้สึกยังไง?
ชู๊ต : ก็สงสารครับ (สงสารพี่บิ๊ก) ไม่ๆ น่ารักๆ อย่างที่พี่เชียร์บอกเขาใส่ใจ ไม่ได้ใส่ใจแค่พี่เชียร์ เขาใส่ใจคนรอบข้าง เขาใส่ใจคนที่บ้านแบบคิดว่าเราเป็นครอบครัวเขา
แสดงว่าผู้ชายทุกคนที่มาจีบเชียร์ชู๊ตจะรู้?
ชู๊ต : ไม่ทั้งหมดครับ แต่ส่วนใหญ่จะรู้
สวย เก่ง ขนาดนี้ ห่วงหรือหวงพี่สาว?
ชู๊ต : ห่วงดีกว่าครับ ไม่หวงครับ เพราะเรารู้ว่าเขาทำงานตั้งแต่เด็ก เขาใช้ชีวิตมาค่อนข้างโชกโชนในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการทำงาน การใช้ชีวิตเหมือนเขาสุดทุกทาง เที่ยวก็สุด ทำงานก็สุด ครอบครัวก็สุด แต่เราจะห่วงเขาเรื่องสุขภาพมากกว่า เพราะว่าเขาเป็นคนที่ทำงานหนัก บางวันนอนแค่ 2-3 ชั่วโมง บางทีอาทิตย์นึงทำงานทุกวันเลย เรารู้สึกเขาพักผ่อนน้อย สุขภาพเขาอาจจะไม่ดี
พี่สาวตอนไม่มีแฟนกับพี่สาวตอนมีแฟน ความขี้อ้อนต่างกันไหม?
ชู๊ต : ถ้ากับคนในบ้านเหมือนเดิมครับ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่กับพี่บิ๊กเราจะเห็นมุมที่แบบ เห้ย...เป็นอะไร แบบที่ยักๆ คือเราไม่เคยเห็นเขาในมุมนั้น ซึ่งหลังๆ เขาก็เริ่มแสดงออกต่อหน้าคนในบ้านเยอะขึ้น ซึ่งตอนแรกๆ ที่เห็นชู๊ตแบบจังหวะช็อต
ชอบพี่สาวเวอร์ชั่นไหนมากกว่ากัน?
ชู๊ต : มีแฟนแล้วกันครับ ดูสดใส เด็กลงนิดนึง ความรักทำให้คนเด็กลง
เชียร์รู้สึกเด็กลงไหม?
เชียร์ : เด็กลงค่ะ เพราะเรามีสกินแคร์ที่ดี (อ่อไม่เกี่ยวแล้ว) เชียร์ว่ามันคือเตอมเต็มแหละ มันมีพลังงานที่ดี เรื่องนี้เชียร์คุยกับบิ๊กนะการที่เราทำอะไรดีๆ ต่อกัน มันก็จะมีแต่สิ่งดีๆ
ชู๊ตแอบเชียร์พี่สาวให้รีบแต่งงาน ให้รีบมีเบบี้เร็วๆ เลยไหม?
ชู๊ต : ไม่ครับ ชู๊ตรู้สึกว่าเป็นเรื่องของเขาสองคนที่แบบเขาจะตกลงกันเมื่อพร้อม ถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่เราก็พร้อมจะยินดี
พร้อมจะเป็นหน้าหรือยัง?
ชู๊ต : ก็พร้อมแล้วครับ เป็นคนรักเด็ก
เชียร์ : โทษนะคะ รักมาก รบกวนจัดการตัวเองคะ
แล้วถ้าเขาไม่มีลูกโอเคไหม?
ชู๊ต : โอเคครับ มันเป็นเรื่องของเขาสองคน
แล้วบิ๊กว่าไง?
เชียร์ : ก็ต้องคุยกันอีกที แต่ว่าเขาไม่ได้ติดอะไร ส่วนตัวเขา เขาก็ค่อนข้างคิดเหมือนเราแหละ แต่ถ้าเราอยากจะมีเขาก็ไม่ติด
เชียร์ทำไมถึงไม่อยากมี?
เชียร์ : อันนี้ส่วนตัวแล้วกัน เรารู้สึกการมีชีวิตมันไม่ใช่เรื่องง่าย เราเติบโตมา 34 ปี เรารู้ดีว่ามันมีทั้งสุข ทุกข์ แค่รู้สึกว่าเราแกร่งที่เรายินดีจะผ่านไป แต่เราไม่รู้ว่าลูกเราจะเป็นยังไง แล้วเราคงเป็นห่วงเขามาก แต่นี่มันเป็นความคิดด้านเดียวนะ
มีอยู่ช่วงนึงครอบครัวนี้เกิดกระแสดราม่า โดนทัวร์ลงอย่างหนัก ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?
เชียร์ : ก็เป็นเรื่องประเด็นนี้แหละ ประเด็นที่เราเปิดตัวคุณบิ๊ก แต่เราอยู่วงการมาไม่เคยมาโดนอะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอมีประเด็นนี้ กึ่งนึงเราก็เข้าใจประเด็นที่มันเกิดว่ามันเกิดเพราะอะไร แต่ถามว่าโกรธอะไรไหม ไม่ถึงขนาดแบบโกรธ ไม่ได้อะไร แต่เรารู้สึกกระทบใจดีกว่า เราโดนว่าไม่เป็นไรหรอก แต่พอโดนไปถึงครอบครัว ว่าไปถึงน้องเรา พี่เรา แล้วมันเป็นเรื่องที่แบบเราเปิดตัวคบคนคนนึง เราเลยรู้สึกว่าทำไมต้องไปหาคนอื่นด้วย เราแค่รู้สึกไม่ดีที่คนในบ้านต้องมาโดนเรื่องนี้
เชียร์ไม่โกรธ แต่ชู๊ตโกรธโดนคน DM มาด่า?
ชู๊ต : โกรธครับ คือเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาด่าพี่เรา แล้วเขาด่าถึงปาป๊า มาม๊าเรา ทุกอย่างมันมีเหตุผล เราเข้าใจว่าต่างคนต่างความคิด แต่เราแค่รู้สึกว่า คุณก็ไปในพื้นที่ของคุณสิ ถ้าคุณอยากจะระบายอะไร คุณมีพื้นที่โซเชียลของคุณอยู่แล้ว คุณจะมาลุกล้ำพื้นที่โซเชียลของเราทำไม ถึงขั้นพิมพ์มาหาชู๊ต พิมพ์มาหาเฮียแชมป์ เรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องเท่าไหร่
เขาด่าเรื่องอะไร?
เชียร์ : ความเข้าใจบางอย่าง คือเขาเข้าใจว่าเราคบกับอีกคนนึง ซึ่งตลอดเวลาที่เราปฎิเสธคุณบิ๊กมาตลอด แต่ถามว่าการปฎิเสธมันคือเรื่องจริง เพราะไม่งั้นเขาไม่รอถึง 2 ปีหรอก แต่พอวันนึงเราเปิดตัวคบคนนี้ขึ้นมา มันเหมือนกับว่าเราโกหกนิ ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้โกหกอะไร แต่เราก็ไม่อยากให้การมาด่ากันถึงขนาดต้องไปฟ้องกัน จริงๆ ทำได้ไหม ทำได้ แต่เรารู้สึกว่าทุกอย่างให้มันจบดีกว่า
เชียร์สอนน้องตลอดว่าอย่าด่ากลับ?
เชียร์ : ใช่ นิ่ง ให้มันจบไป เพราะเรารู้สึกว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วพื้นฐานมันไม่ได้มีอะไรเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปทำให้มันมีอะไรดีกว่า
เชียร์อโหสิกรรมไหม?
เชียร์ : เชียร์ไม่แน่ใจว่าคำนี้ถูกไหม เพราะเชียร์ไม่ได้ผูกใจเจ็บกลับ หรือเราไม่ได้รู้สึกอะไรกลับ คือเราให้อภัยดีกว่า ปล่อยวาง
ตอนนั้นบิ๊กว่ายังไง?
เชียร์ : เขารู้ มันเป็นส่วนนึงที่ทำให้เรามาคุยกันว่า อย่าให้มันมีอะไรไม่ดีในคู่ของเราดีกว่า เพราะว่าเราผ่านอะไรกันมา เชียร์เองก็ผ่านจุดที่เราไม่เคยโดนแบบนี้เหมือนกัน ให้รักษาตรงนี้ไว้ดีกว่า แล้วไปข้างหน้า
พี่น้องสองคนนี้สนิทกันมาก สมัยก่อนใส่กางเกงในตัวเดียวไปแกล้งน้อง?
ชู๊ต : ตัดคำว่าสมัยก่อนออกครับ ทุกวันนี้ คือห้องชู๊ตกับห้องพี่เชียร์ติดกัน ห้องแต่งตัวเขามันทะลุกันได้ เราก็จะเดินผ่านของเราปกติ ซึ่งบางทีเขาก็มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรของเขา ซึ่งปกติผู้หญิงเวลาเห็นผู้ชายเดินเข้าไปในห้อง เขาต้องเขิน เขาต้องด่า แต่นี่ไม่ใส่กางเกงในวิ่งไล่เลย กลายเป็นว่าเราต้องเขินแทน
รักน้องคนนี้ขนาดไหน?
เชียร์ : ก็น้องเราต้องรักแหละ จริงๆ ก็มีโมเมนต์แบบบางทีคือเชียร์จะขี้งกมากกับการซื้อของ แต่บางทีเราจะซื้อรองเท้าคู่นี้แพงหน่อย แต่น้องเราใส่ได้ เชียร์จะซื้อไซน์ใหญ่หน่อย เผื่อเขาด้วย
ซู๊ต : รักนะ
จริงไหมที่เขาบอกว่าอีกไม่นานจำอำลาวงการ?
เชียร์ : เอาจริงๆ เป็นแพลนที่คิดไว้เหมือนกันนะพี่ ไม่ใช่ว่าจะอำลาไปเลยนะคะ แต่ว่าเราเติบโตมากับการเป็นนักแสดง แต่หลังๆ เราเริ่มทำธุรกิจ มาทำเบื้องหลัง มาทำอะไรที่เป็นอีกแบบนึงเวลามันค่อนข้างจัดการลำบากมาก ถ้ากับการเป็นนักแสดงนะคะ ซึ่งถ้ากรณีเล่นละครยาวๆ คิดว่าน่าจะเร็วๆ นี้เลยด้วยซ้ำ
แต่จะไม่คิดถึงเสน่ห์ของการเล่นละครแล้วเหรอ?
คิดถึง : คิดถึงมาก รักมาก แต่ว่าด้วยเวลา ณ ตอนนี้สิ่งที่เราคิดไว้มันอาจจะทำไม่ได้ แต่ถ้าวันนึงเราจะกลับมาเล่นอะไรอย่างนี้ คือทิ้งขาดน่าจะยาก แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าไม่เหมาะจริงๆ กับเวลาที่จะเอามาเล่นละคร
เคยคุยเรื่องนี้กันไหมว่าเขาจะเลิกทำงาน?
ชู๊ต : เคยพูดบ้าง แต่ว่าเห็นพูดมาหลายปีแล้วเหมือนกันครับ
เชียร์ : คือพูดมาหลายปีบอกจะเลิกๆ ก็ยังไม่เลิกนั่นเอง
ชู๊ต : ใช่ แต่เป็นการค่อยๆ ลดดีกว่า
ตอนนี้ชู๊ตเริ่มถ่ายละครแล้ว?
เชียร์ : ใช่
ชู๊ต : ก็เพิ่งเริ่มเข้าวงการ
รับไม้ต่อแทนพี่สาว?
ชู๊ต : ใช่
เชียร์ : เขามีความตั้งใจมากพี่ จริงๆ เขามีเสน่ห์อะไรบางอย่าง เชียร์ว่าเวลากับประสบการณ์จะค่อยๆ กล่อมเกลาเขาเอง เพราะว่ากระสือลำซิ่งละครที่เชียร์ทำ เขาเล่นมันก็มีจุดดีที่เราเห็นนะ เขาก็มีเสน่ห์อะไรบางอย่างในตัวเขาเหมือนกัน
ที่เขาเขียนว่าเชียร์ใช้เส้นดันน้องเข้าวงการ เห็นแบบนี้แล้วเจ็บไหม?
ชู๊ต : ไม่เจ็บครับ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เขาแทบจะไม่ดันเราเลย ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นเราอยากเข้า เขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เชียร์ : ใช้คำนี้ดีกว่า ไปออดิชั่นเล่นซีรีส์ เชียร์ยังไม่รู้เลย
คนที่ซีรีส์รู้ไหมว่าเราคือใคร?
ชู๊ต : เขารู้เพราะว่าเขาอ่านนามสกุลแล้วเขาก็ถามมากกว่า
เชียร์ : คือเราไม่ได้ฝาก จัดการให้ไม่มีเลย งงเลย งงว่าไปตอนไหน คือเลียร์ว่าเขาจะเข้าใจเองว่าเรื่องของการเป็นข่าวคืออะไร แต่ว่าความรู้สึกที่มันจะเกิดขึ้นถ้าเราทำหรือไม่ทำ ทุกอย่างมันจะตอบด้วยตัวมันเอง เชียร์ว่าชู๊ตเขาก็เรียนรู้ตรงนี้ได้ดี
ชู๊ต : ใช่ เพราะว่ามีตัวอย่างที่ดีอยู่ตรงนี้
น้องชายของเธอมีคนครอบครองหัวใจหรือยัง?
เชียร์ : อยากรู้เหมือนกัน เขาไม่เคยมาปรึกษาอะไรเลย
ชู๊ตมีคนครองหัวใจหรือยัง?
ชู๊ต : ไม่มีครับ คือเรารู้สึกว่าเรายังดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนั้น เรารู้สึกว่าเราไม่พร้อมที่จะดูแลใคร จะคล้ายๆ กับพี่เชียร์ที่ส่าเราไม่ใช่คนที่ต้องมีตลอดเวลา คือถ้ามีแล้วมันไม่ดีเราเลือกที่จะไม่มีดีกว่า