คดี แตงโม วันที่ 14 มี.ค. 65 เวลา 09.30 น. ที่ห้องปฏิบัติการ ชั้น 5 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องสิทธิในการปฏิเสธการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 ราย ในคดีการเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาของแตงโม
โดยมี 2 คนที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้ ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจการตรวจหาสารเสพติดตามกฎหมายใด จึงอยากขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการกระทำดังกล่าว และรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยมีนายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน รับเอกสารดังกล่าวต่อหน้าสื่อมวลชน
นายรณณรงค์ เปิดเผยในห้องประชุมว่าเดินทางมาเพื่อให้ทางสำนักงานตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องสิทธิในการปฏิเสธการตรวจหาสารเสพติดในร่างกายผู้ต้องสงสัยทั้ง 5 ราย ซึ่งมี 2 คนที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถตรวจสอบได้ เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจการตรวจหาสารเสพติดตามกฎหมายใด หากใช้ข้อกฎหมายใดหรือสิทธิ์ตัวไหนที่รองรับก็ให้ชี้แจงต่อสังคมให้รับรู้ จึงอยากขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบการกระทำดังกล่าว หากพบว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ตรวจสอบและดำเนินการส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อไป
ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เปิดเผยหลังยื่นหนังสือว่า วันนี้มายื่นในประเด็นเกี่ยวกับการใช้ดุลยพินิจ ในการตรวจสารเสพติดของพยานและผู้ต้องหาบนเรือทั้ง 5 คน ผลการตรวจออกมาเพียง 3 คนเท่านั้น และ อีก 2 คนหายไปไหน ตนเองยืนยันว่าไม่ได้มีการจะไปว่ากล่าว แต่จะให้ผู้ตรวจการแผ่นดินไปถามตำรวจ สาเหตุที่ไม่ตรวจใช้ดุลยพินิจตามกฎหมายใด และที่ตรวจ 3 คนใช้ดุลยพินิจในกฎหมายใด อ้างประเด็นใด จึงไม่ต้องตรวจ ถ้าทำแบบนั้นได้ตนเองจะได้ไปใช้เหตุผลนี้ทำคลิปสอนชาวบ้านบ้างว่าอ้างแบบนี้แล้วไม่ต้องตรวจก็ได้ ยืนยันว่าไม่ได้ตำหนิ แต่หากกฎหมายมีปัญหา ก็ต้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องไปยังรัฐสภา เพื่อให้แก้ข้อกฎหมาย
ตนเองทำคดีความมาร้อยทั้งร้อยผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัย ตำรวจจะจับตรวจทันที แต่ในกรณีนี้ผ่านไปหลายวันถึงได้ตรวจ หรือจริง ๆ แล้วไม่ได้ตรวจ ตนเองมองว่าไม่ได้ตรวจมากกว่า เพราะถ้าตรวจแล้วก็ออกมาบอกว่าเจอหรือไม่เท่านั้นเอง จากกระแสข่าวทราบว่า คนบนเรือมีญาติสนิทสนมกับท่าน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องออกมาชี้แจงว่าเกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่อย่างไร เพราะตำรวจก็มีความไม่ชัดเจนตั้งแต่วันแรก เนื่องจากไม่อายัดเรือที่เกิดเหตุ เพื่อนำไปตรวจสอบทันที
สำหรับกรณีที่พลตำรวจโทอำนวย นิ่มมะโน ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวนั้น ตนเองมองว่าพี่อำนวยควรจะไปดูตัวเองก่อน วันแรกสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือสถานีตำรวจภูธรเมืองนนทบุรีอายัดเรือไปตรวจสอบครบถ้วนหรือไม่ แต่ในกรณีนี้ไม่มีการอายัดเรือ ไม่มีการตรวจปัสสาวะ ไม่มีการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ แบบนี้หรือจึงทำให้แตงโมมีผลตรวจปริมาณแอลกอฮอล์อยู่เพียงคนเดียวบนเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็ได้มีการพูดคุยร่วมกับกลุ่มทนายความ ส่วนทนายเดชาในวันนี้ก็จะรับผิดชอบในเรื่องของการชันสูตรศพ
ขณะที่ขั้นตอนหลังจากนี้ ตนเองอยู่ระหว่างการรอผลว่าผู้ตรวจการแผ่นดินจะชี้แจงออกมาอย่างไร เรื่องการใช้ดุลยพินิจในการตรวจหาสารเสพติด ตนเองไม่ได้อิจฉา แต่หากชี้แจงออกมาว่าเป็นอย่างไรก็จบ จะได้ให้คนอื่นทำบ้าง ไม่ใช่ดุลยพินิจดังกล่าวขึ้นอยู่กับคนบางกลุ่ม มันไม่ถูกต้อง ทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
สำหรับภาพจากกล้องวงจรปิด นาทีแก๊งบนเรือของแตงโม ที่มีการจอดเรือเติมน้ำมัน โดยในเรือมีเบิร์ด จ๊อบ ปอ แตงโม และกระติก เป็นวงจรปิดตอนเวลา 16.00 น. ของวันที่ 24 ก.พ. 65 ขณะเรือจอดเทียบท่าเติมน้ำมัน โดยพฤติกรรมของคนบนเรือให้การไม่ตรงกับตำรวจ โดยเฉพาะเรื่องแก้วไวน์ และขวดไวน์ ซึ่งวันที่ พฐ. ไปตรวจที่อู่เรือพบว่ามีขวดไวน์ 1 ขวด แต่ไม่มีแก้วไวน์นั้น
ทั้งนี้ จากการที่ตรวจสอบวงจรปิดพบว่าบนเรือมีขวดไวน์ 1 ขวด และมีแก้วไวน์ถึง 5 แก้ว โดยแก้วที่ 1 ปอ หยิบขวดไวน์รินไวน์ส่งให้โรเบิร์ตที่ยืนอยู่หัวเรือ, แก้วที่ 2 ปอ รินขวดไวน์ใส่แก้วกินเอง, แก้วที่ 3 จ๊อบรินขวดไวน์ใส่แก้ว ส่งให้แตงโม, แก้วที่ 4 จ๊อบรินขวดไวน์ใส่แก้วส่งให้กระติก, แก้วที่ 5 จ๊อบรินขวดไวน์ใส่แก้วกินเอง
จากนั้น ทุกคนมีการดื่มกินกันจ๊อบกับปอนั่งดื่มท้ายเรือ โรเบิร์ตอยู่หัวเรือ ขณะที่กระติกกับแตงโมนั่งกลางเรือถ่ายรูป
นายนิกร โพธิ์ทอง พนักงานของอู่เรือ NBC คนที่ไปช่วยนายปอยกของขึ้นเรือก่อนลงเรือในช่วงเย็น ที่มีแตงโมนั่งโดยสารไปด้วย เปิดใจว่า ตนจำได้ว่าเป็นช่วงบ่าย รถสีดำของนายปอได้มาจอดภายในอู่เรือ เมื่อมีการจอดเรือแล้วได้ตะโกนเรียกชื่อตนเองและพนักงานอีกหนึ่งคนให้ไปช่วยยกของ เพื่อนำไปขึ้นเรือสปีดโบ๊ตเตรียมที่จะนำออกแม่น้ำเจ้าพระยา
ตนเองได้ไปถือถุงกระดาษสีแดงเลือดหมู ด้านในมีการบรรจุขวดไวน์ หนึ่งถุงต่อหนึ่งขวด เพราะลักษณะถุงไม่สามารถบรรจุได้เกินกว่า 1 ได้ โดยตนเองสามารถที่จะยกมาได้เพียงแค่ 4 ถุง เพราะตอนนั้นกังวลว่ากลัวจะทำให้ก้นถุงรั่วและขวดตกแตก จึงได้ใช้ความระมัดระวังและหยิบออกจากรถเพียงแค่ 4 ขวด จากนั้นก็มีพนักงานอีกหนึ่งคนไป 2 ถุง เป็นลักษณะถุงสีเดียวกันรวม 6 ถุง นำไปขึ้นเรือให้กับนายปอ
จังหวะนั้นนายปอได้ไปเปิดถังน้ำแข็ง ซึ่งปรากฏว่าด้านในมีแก้วไวน์ โดยมีลักษณะเป็นคราบล้างทำความสะอาดไม่เรียบร้อย จึงได้ให้ตนเองไปล้างทำความสะอาดเพิ่ม เรือลำดังกล่าวตนเองเป็นคนเอาแก้วไวน์ไปเตรียมเอาไว้ให้ หลังจากที่ล้างความสะอาดแล้ว มีแก้วไวน์จำนวน 4 ใบ และแก้วแชมเปญอีก 2 ใบ รวมแล้วบนเรือมีแก้ว 4 ใบ ตนก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นได้มีการขนเสบียงใส่กระเป๋าสัมภาระส่วนตัวขึ้นไปบนเรือหรือไม่ เพราะเห็นว่าแต่ละคนก็มีกระเป๋าสัมภาระส่วนตัวคนละ 1 ใบ แต่จะมีนายจ๊อบที่มาพร้อมกับกระเป๋าสีดำใบใหญ่ ถือหิ้วทิ้งน้ำหนักที่แขนขวาเดินเข้าไปในอู่เรือ
นอกจากนี้ หลังจากเกิดเหตุแล้ว ตอนที่นำเรือมาเทียบที่อยู่เรือ ปรากฏว่าการนำเรือขึ้นมาจากน้ำ พบว่าเรือได้มีการเก็บขวดไวน์และสิ่งของในเรือออกแล้วบางส่วน จึงไม่รู้ว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่ แต่มาทราบภายหลังว่ามีเพียงแก้วไวน์ 1 ใบ ที่ยังไม่ได้นำลงจากเรือ ตำรวจจึงเก็บไปเป็นหลักฐาน แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าแก้วไวน์และแก้วแชมเปญที่เหลือหายไปไหน โดยปกติเวลาที่เรือของนายปอมีการใช้งานเสร็จแล้วก็จะนำแก้วใส่คืนเอาไว้ในถังน้ำแข็ง เพื่อที่จะรอให้ลูกน้องหรือพนักงานในอู่ไปช่วยยกลงมาทำความสะอาด โดยส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ทิ้งขยะเอาไว้ในเรือ แต่จะมีการเก็บรวบรวมเอาไว้ เพื่อจะให้ง่ายต่อการทำความสะอาด แต่เหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้มีแก้วไวน์อยู่ในถัง แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บทำความสะอาด ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บแก้วลงจากเรือ
นายธนกฤต วงศ์สุวรรณ เจ้าของอู่เรือ NBC เปิดเผยกรณีเรื่องของการนำไวน์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขึ้นไปบนเรือสปีดโบ๊ตของนายปอในวันเกิดเหตุ ว่าในวันนั้นหลังจากที่นายปอได้ประสานว่าจะลงเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ตนเองได้มีการสั่งให้พนักงานในอู่เรือเตรียมเรือ ซึ่งจำได้ว่าเป็นช่วงบ่าย นายปอได้เดินทางมาถึงคนแรก เมื่อเดินทางมาถึงได้ตะโกนเรียกชื่อให้พนักงานในอู่เรือไปช่วยยกของและเตรียมของขึ้นเรือ ซึ่งมีพนักงานไปช่วยยกถุงกระดาษสีแดงเลือดหมู 6 ถุง ที่มีการบรรจุขวดไวน์ แบ่งพนักงาน 2 คน คนแรกถือ 4 ถุง คนที่ 2 ถือ 2 ถุง ตนเองก็ไม่ได้เข้าไปสังเกตหรือสอบถามว่าเป็นไวน์ชนิดใด หรือในถุงกระดาษมีแชมเปญหรือไม่ เพราะทราบจากคนงานว่ามีการใช้เทปปิดปากถุงกระดาษเอาไว้ ตนเองจึงได้กำชับให้แต่เพียงว่าให้ระมัดระวังในการขนย้าย กลัวว่าถุงกระดาษจะชำรุดบริเวณก้น และทำให้ขวดไวน์ร่วงตกพื้น
หลังจากที่มีการเตรียมเรือพร้อมแล้ว ช่วงหลัง 16.00 น. กลุ่มพวกบนเรือก็เริ่มทยอยเดินทางมาเพื่อลงเรือก่อนไปเติมน้ำมัน ในตอนที่เอาเรือลงน้ำ ก็ไม่มีใครได้สังเกตว่าในเรือจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไวน์เพิ่มหรือไม่ เพราะตอนนั้นทราบแต่เพียงว่าทุกคนที่เดินทางมาขึ้นเรือก็จะมีสัมภาระส่วนตัว โดยเฉพาะนายจ๊อบ ที่มีกระเป๋าสีดำถือมาด้วย 1 ใบ จึงไม่ทราบว่าด้านในนั้นมีอะไรหรือไม่ และจากภาพวงจรปิดที่อมรินทร์ทีวีได้ไป ก็จะเห็นว่าตอนหลังจากที่ขึ้นเรือมาแล้วนายจ๊อบก็ยังคงถือกระเป๋าใบดังกล่าวออกจากอยู่เรือ ซึ่งก็เชื่อว่าตำรวจคงมีการตรวจสอบแล้ว ตนเองจึงยืนยันว่าจากจำนวนไวน์มีเพียงแค่ 6 ขวด
นายธนกฤต กล่าวต่อว่า ในวันดังกล่าวหลังจากที่มีการใช้เรือเสร็จแล้ว ตนเองก็ได้เป็นคนขับเรือขึ้นจากท่า เพื่อนำขึ้นมาเก็บ แต่ก็ได้มีการกำชับกับลูกน้องภายในอู่ ห้ามมีการยุ่งกับเรือลำดังกล่าว เพราะในตอนนั้นทราบว่าเกี่ยวข้องกับการตกน้ำ จึงมองว่าอาจจะต้องมีเรื่องของคดีความเข้ามาเกี่ยว ก็เลยมีการกำชับให้ลูกน้องและพนักงานในโรงงานห้ามยุ่งกับเรือ แต่ทำหน้าที่เฉพาะลากจุงขึ้นมาเก็บไว้ และเมื่อตนเองนำเรือขึ้นมาแล้ว ก็ได้เดินทางกลับบ้าน และกลับเข้ามาที่อู่อีกครั้งในเวลา 08.00 น. พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักข่าว แต่เหตุผลที่ตนเองต้องเป็นคนเอาเรือขึ้นลงให้นายปอนั้น เป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยขับเรือชนทางขึ้นลง ก็เลยไม่มีความมั่นใจ กลัวว่าเรือจะเสียหาย จึงได้ให้พนักงานในอู่เรือรวมถึงตนเองในฐานะเจ้าของอู่เป็นคนดำเนินการนำเรือขึ้นลงให้ ก็ไม่ได้พบความผิดปกติ ไม่เห็นขวดไวน์ไม่เห็นแก้วไวน์ สุดท้ายเพิ่งจะมาทราบภายหลังว่ากองพิสูจน์หลักฐานได้มีการเก็บแก้วไวน์เพิ่มเติมได้ที่ใต้เบาะนั้น 1 ใบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- สรุป แม่แตงโม-ทนายเดชา-ทนายกฤษณะ ร่วมกันแถลงความคืบหน้าของ คดีแตงโม
- ใบเตย กระเป๋าหรูหายงานพิธีแตงโม โบ TK ลั่นใครหยิบไปนำมาคืน ส่งภาพวงจรปิดให้ตำรวจแล้ว
- ส.ส.เต้ เผยมีเพื่อนอยู่นาซา เตรียมขอภาพถ่ายดาวเทียม คืน แตงโม ตกสปีดโบ๊ต