จากกรณีดราม่าของ "คิวเท โอปป้า" ยูทูเบอร์ชื่อดัง ที่มียอดติดตามแล้วกว่า 7.6 ล้านบัญชี ที่อัดคลิประบายความในใจเกี่ยวกับทีมงาน 4 คน ที่รุมนินทาด่าทอ ขอเงินเดือนเพิ่ม ทิ้งงาน และขโมยแบรนด์เนมไปขายนั้น
จากคลิปสรุปได้ว่า ทีมงานทั้งหมดได้เรียกคิวเท โอปป้าเข้ามาออฟฟิศ เพื่อขอต่อรองค่าตอบแทน วันหยุด และขอลาออกยกทีม ทำให้คิวเทรู้สึกเสียใจอย่างมาก ก่อนจะได้เจอหลักฐานบางอย่างที่ทำให้รู้ความจริงทั้งหมด ทั้งให้โอกาสรับพนักงานตัดต่อเข้าทำงาน ทั้งอายุไม่ถึง 20 ปี และยังตัดต่อไม่เป็น ด้วยเงินเดือน 30,000 บาท รวมถึงเลขาส่วนตัวที่ไม่มีประสบการณ์ทำงาน ทำงานพลาดจนเสียหายหลายแสนบาท แต่ก็ยังคงทำงานด้วยกัน จนมารู้ทีหลังว่าเลขาได้มีการแชร์ข้อมูลลับของบริษัทให้คนอื่น รวมถึงหนึ่งในทีมงานที่อยู่ด้วยกันมาร่วม 3 ปี กลับเป็นขโมยของแบรนด์เนมในบ้าน ไปขายในเว็บแบรนด์เนมมือสอง นอกจากนี้ ยังมีของมีค่าอื่น ๆ ในบ้านที่หายไปโดยไม่มีสาเหตุอีกหลายครั้ง
วันที่ 15 มีนาคม 2565 "คิวเท" ได้มาร่วมงานเปิดตัวภาพยนตร์ พี่นาค 3 ที่ได้ร่วมแสดง เปิดใจถึงกระแสข่าวทั้งน้ำตาว่า ตนมองทุกคนเป็นครอบครัว ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่พูดออกไป เราคิดแทนตัวเองว่าเงินเดือน 15,000 บาทคงไม่พอใช้ เราเลยให้ 30,000 บาท เราเสียใจมากนะ นึกย้อนไปตอนที่เขามาสมัครงาน คือดีใจมาก ที่เขาบอกว่าอยากทำงานกับเรา เราเป็นคนที่รู้สึกพิเศษมากกับคำพูดของเขาที่บอกว่าอยากมาทำงานกับเรา เราปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
"มันโหดร้ายสำหรับผมมาก ผมยังโทษตัวเองว่าเราแย่จริง ๆ เพราะเรามองว่าเขาคือครอบครัว เลยปรับปรุงตัว แต่พอมาเห็นข้อมูลที่เขาทำกับเรา ข้อความสนทนาที่เขาพูดถึงเรา เราเลยรับไม่ได้ เรามั่นใจว่าเราไม่ได้เป็นคนใจร้ายขนาดนั้น มีอะไรมาคุยกับผมต่อหน้าก็ได้ เห็นข้อมูลที่เขาด่าเรา เรารับไม่ได้
ผู้ใหญ่หลายคนบอกผมสปอยด์มากไป ให้เขาเยอะเกินไป แต่เราคิดแค่ว่าเราสนับสนุนให้เขาเติบโต สอนทำช่อง เพื่อให้เขามีอนาคต ต่อยอดจากเงินเดือน 30,000 บาท ไปให้มีเงินแสนได้ เรามองแค่อยากให้เขาเติบโต ไม่คิดว่าเขาจะทำกับเราแบบนี้ เรามองเขาเป็นครอบครัวมาตลอด เราทำอะไรไม่ได้ เหมือนเราไม่เหลือใครเลย" คิวเท กล่าว
ทั้งนี้ วันที่เกิดเรื่องก็ไม่มีการเคลียร์ใจกัน เราไม่ยอมให้พวกนั้นมาทำร้ายผม แม้ว่าเราจะรักคนรอบข้างมาก ๆ ก็จะไม่ยอมให้เขามาทำร้าย เรื่องคดีก็พยายามตามหลังจากแจ้งความไปแล้ว เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ส่วนเรื่องงานตอนนี้ไม่ค่อยได้ลงคลิปเพราะเครียด ตอนนี้เราก็ไม่ได้รู้สึกดี ก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นไปขุดไปว่าเขาเรื่องหน้าตา ผมว่ามันแรงเกินไป อยากให้มันอยู่ในประเด็นที่เกิดขึ้นมากกว่า
สำหรับ "โอ๊ต" ช่างภาพ มีการขโมยของแบรนด์เนม และของใช้ในบ้านไปขายนานกว่า 3 ปี ปัจจุบันถูกตำรวจควบคุมตัวแล้ว หลังจากคิวเทดำเนินการแจ้งความตามกฎหมาย
ทีมข่าวโทรศัพท์ติดต่อ นางสาวน้ำหวาน อดีตลูกจ้างของคิวเท เปิดเผยว่า จากคำอ้างของคิวเทอ้างว่าเลขาคนนี้อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ขอวันลา และวันหยุดเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้นำข้อมูลของออฟฟิศไปขาย ตนได้เห็นกระแสดราม่าที่เกิดขึ้นแล้ว ขณะนี้ตนยังไม่พร้อมชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากตนเกรงว่าหากพูดชี้แจงอะไรไปอาจจะยิ่งทำให้คิวเทไม่พอใจมากกว่าเดิม เพราะตนไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ไม่มีใครหนุนหลังช่วยเหลือ ขณะนี้ตนยังไม่ได้ติดต่อไปหาเพื่อน ๆ ทีมงานอีก 3 คนที่ถูกคิวเทกล่าวถึง
สำหรับเหตุที่เกิดขึ้น ตนไม่ทราบถึงสาเหตุ เพราะตนไม่ได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหา ตนเป็นเพียงพนักงานธรรมดา ตนเพียงเบื่องานและอยากลาออก เป็นเรื่องปกติของพนักงานทั่วไป โดยตนได้บอกว่าตนจะลาออก แต่ตนจะสอนงานเลขาคนใหม่ให้ จนกว่าเลขาคนใหม่จะทำงานได้ ตนไม่ได้เร่งรีบ อาจจะต้องสอนงาน 3-4 เดือน ตนก็ยินดี ทั้งนี้ ประเด็นของเพื่อนทีมงานอีก 3 คน ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าจริงเท็จอย่างไร แต่ตนก็ได้รับผลกระทบและถูกสังคมโจมตี ส่วนตัวหากตัวเองไม่ผิดก็ขอเลือกอยู่แบบเงียบ ๆ ไม่ตอบโต้
ด้านนายธนวัฒน์ ชาวสมุทร หรือ โกบอย ยูทูเบอร์ บอกว่า ตนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับดราม่านี้ คือ 1.คิวเทค่อนข้างที่จะให้เงินเดือนทีมงานสูงมาก ซึ่งสูงกว่าทีมงานของตน โดยจากข้อมูลที่ตนทราบ คิวเทให้เงินเดือนทีมงานโดยไม่สนใจวุฒิการศึกษา แต่ให้ความสำคัญกับความชอบและความสามารถของพนักงาน 2.คิวเทจัดการปัญหาภายในออฟฟิศได้ดีมาก ซึ่งคิวเทดูแลทีมงานได้ดีมาก จนอาจทำให้พนักงานเคยตัวเคยชิน จึงทำให้เกิดปัญหาในภายหลัง 3.การที่คิวเทออกมาพูดผ่านคลิป แน่นอนว่าย่อมส่งผลเสียและผลกระทบต่อตัวคิวเทและออฟฟิศ เพราะลูกค้าสินค้าคงไม่ประทับใจที่คิวเทมีปัญหาภายใน ซึ่งจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสินค้า
ส่วนการเลือกทีมงานมาทำงานด้วยนั้นตอบได้ยาก คงขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนบุคคล ตอนแรกนิสัยพนักงานอาจจะดี แต่เมื่ออยู่กันไปนาน ๆ นิสัยจริงอาจยะแสดงออกมา หรือนิสัยอาจจะเปลี่ยน ตนมีความเห็นใจคิวเท และขอเป็นกำลังใจให้
ทั้งนี้ ตนในฐานะยูทูเบอร์เช่นกัน ตนก็เคยถูกทีมงานโกง โดยเมื่อปลายปี 2564 ทีมงานขโมยของของตนไปทีละชิ้นจนตนจับได้ จึงได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวัน แต่ไม่ได้แจ้งความ เพราะตนไม่อยากให้เป็นคดีความ ตกลงกันว่าให้อดีตทีมงานลาออกและให้หาเงินมาชดใช้ มูลค่าความเสียหายประมาณ 300,000-400,000 บาท ดังนั้นการพูดคุยจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการทำงานร่วมกัน
