ภายหลังคุณแม่ของแตงโมหรือ นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน พร้อมด้วย นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ทนายความ และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ในฐานะที่ปรึกษาคดีแตงโม เดินทางมายังสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อพบเจ้าหน้าที่โดยใช้เวลากว่า 3 ชม. ในการรับทราบผลผ่าพิสูจน์ศพ ได้ข้อสรุปว่าไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย หน้าไม่มีแผล ฟันไม่หัก ส่วนร่องรอยบาดเเผลใหญ่บริเวณต้นขาพบมาจากของมีคมนั้น
ล่าสุด นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ออกมาโพสต์ถึงเหตุผลในการส่งร่างคุณแตงโมไปผ่าซ้ำ ทั้งที่ครอบครัวก็ระบุว่าเชื่อมั่นการทำงานตำรวจและนิติเวชแล้วว่า "นิติเวชตำรวจบอกไม่มีบาดแผลทำร้ายร่างกายก็ใช่จะเชื่อได้ 100 % รอสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจอีกรอบก่อน เพราะประเด็นบาดแผลแตงโมเป็นประเด็นสำคัญว่าถูกฆาตกรรมหรือไม่ ไม่งั้นเค้าจะเรียกว่าเป็นหน่วยงานที่ต้องเลี้ยวรถกลับเหรอ" ซึ่งโพสต์นี้เป็นที่สนใจของชาวเน็ตและสังคมจำนวนมาก พร้อมเข้ามาคอมเมนต์ว่าเห็นด้วย และรอติดตามผล เพราะมีความคิดไปในทิศทางเดียวกันว่าไม่เชื่อฝีมือตำรวจ โดยเฉพาะประเด็นสุดท้ายว่า "ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าเป็นหน่วยงานที่ต้องเลี้ยวรถกลับเหรอ"
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ กล่าวว่า หน่วยงานที่ทำการชันสูตรศพ ที่ได้รับความเชื่อถือของประชาชนมี 2 แห่งคือนิติเวชของโรงพยาบาลตำรวจ กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งไม่ได้สังกัดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมั่นใจในความเป็นอิสระมากกว่า ดังนั้นไม่ใช่แค่คดีคุณแตงโม แต่มีหลายคดีกรณีที่จะต้องชันสูตรศพ และส่งไปให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์บางครั้งอาจจะได้สิ่งที่ไม่น่าเชื่อกลับมาก็ได้ หรือได้หลักฐานใหม่เพิ่มมาก็ได้ ด้วยความเป็นอิสระ จึงอย่าฟันธงว่าเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ให้รอฟังผลของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก่อน และให้เชื่อมั่นได้เลยว่าสถาบันแห่งนี้ไม่มีใครสั่งการได้แน่นอน แต่ประชาชนที่อยากได้รับความเป็นธรรม สามารถนำร่างของคนในครอบครัวที่สงสัยในสาเหตุการตายส่งไปชันสูตรเองก็ทำได้
ขณะเดียวกันนังตั้งข้อสังเกตอีกว่าในก่อนหน้านี้มีการเคลื่อนย้ายศพจากเดิมที่จะต้องส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นิติเวช รพ.ธรรมศาสตร์ รังสิต แต่ถูกเปลี่ยนมาที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งจริงแล้วศพไม่ใช่ผักไม่ใช่ปลา ควรจะพิสูจน์ให้ไวที่สุดและการผ่าศพในครั้งแรกจะได้ข้อมูลเยอะมากที่สุด
ดังนั้นการผ่าครั้งที่ 2 ก็จะไม่ใช่การผ่าใหม่แต่เป็นการผ่าตามแผลเดิมหรืออาจจะมีการผ่าจุดอื่นเพิ่มเติมบางส่วน และอาศัยภาพถ่ายเดิมมาประกอบกัน ดังนั้นในครั้งที่ 2 นี้จึงไม่มั่นใจว่าศพจะถูกแบบเปลี่ยนสภาพไปแค่ไหน แต่เชื่อว่าถูกดูแลมาดีแต่ตนเองมองว่าการผ่าในครั้งแรกยังไงก็ได้ผลดีที่สุด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าหากวันนั้นไปสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตั้งแต่แรกคดีจบไปตั้งนานแล้ว และคลายข้อสงสัยของสังคมที่มีความเชื่อมั่นในกระทรวงยุติธรรมมากกว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยซ้ำ
สำหรับเรื่องแผลที่ต้นขา จึงเป็นประเด็นที่สำคัญมากเท่าที่ทราบคือแผลไม่ใหญ่ลึกถึงแค่เส้นเอ็น แสดงว่าวัตถุที่มาโดนคงไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้มีแรงกด ตำรวจต้องดูว่าที่เปิดไวน์ทำได้ไหม และตำรวจหาหลักฐานชิ้นนี้เจอหรือไม่ หรือช่วงตกน้ำแก้วไวน์แตกแล้วไปบาดที่ขาจะเป็นไปได้หรือไม่ ซึ่งต้องมีการพิสูจน์ ให้ลองจำลองภาพเหตุการณ์ประกอบจากคำให้การของคนบนเรือว่าแตงโมยืนตรงกลางเรือแล้วเรือกระตุก จากการที่นายโรเบิร์ตขับเรือไม่เป็น แตงโมจึงกลิ้งแล้วไปโดนแก้วไวน์แตกก่อนถูกบาดเข้าไปตรงขา แล้วร่างหล่นน้ำทันทีเป็นไปได้หรือไม่ การนึกภาพนี้สอดคล้องกับคนบนเรือตัดสินใจทิ้งแก้วไวน์ และขวดไวน์ จึงต้องหาให้ได้ว่าแผลที่ต้นขาถูกวัตถุอะไร และไปได้มากกว่าการบอกว่านั่งฉี่ท้ายเรือ
สุดท้ายการตั้งวลีว่า "ไม่งั้นเขาจะเรียกว่าเป็นหน่วยงานที่ต้องเลี้ยวรถกลับเหรอ" เป็นเพราะตนไม่เข้าใจตำรวจว่าทำไมไม่นำศพไปชันสูตร หรือไปฝากไว้กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากประชาชน อีกทั้งคดีเล็ก ๆ เด็กหลงป่าอ้อย ยังมีหมอถึง 3 คนร่วมกันผ่า แต่กรณีคุณแตงโมใช้หมอคนเดียวทำแบบปกติ แทนที่จะแบบพิเศษให้ ส่วนตัวไม่อยากจะด่าตำรวจ ตั้งแต่ขั้นตอนการไม่อายัดเรือ ซึ่งเป็นการกระทำที่แปลกมาก ๆ อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังคงไม่มีหลักฐานในการที่จะเชื่อมโยงไปว่าเป็นการฆาตกรรมจึงสันนิษฐานว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุ เว้นแต่ว่าจะมีพยานหลักฐานตัวใหม่จากศพของคุณแตงโม เพราะหากจะสรุปว่าเป็นการฆาตกรรม แผลนี้ต้องบอกได้ว่าเกิดจากความตั้งใจหรือประมาท
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ชี้เเจงในเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสว่า ในส่วนนี้ทางตนเองยืนยันว่าไม่ได้รับเงิน หากไม่เชื่อให้ตรวจสอบบัญชีได้ มองคนพวกนี้พูดไปโดยที่สร้างเฟกนิวส์ พอไม่เป็นความจริงก็เข้าข่ายเฟกนิวส์ ยืนยันว่าตนไม่ให้ค่าคนที่ออกมาโจมตีตน มองว่าเสียเวลา ถือว่าทำบุญสงสาร แต่ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่คาดว่าอาจจะมีการดำเนินการในส่วนของข่าวปลอมพวกนี้ คนทั่วไปจะได้รู้ความจริง ส่วนตัวไม่ได้มีการพูดคุยกับอีกฝ่ายคู่กรณี และไม่เคยมีความคิดเกี่ยวกับล้มคดี อย่าปล่อยให้คนที่พูดไปเรื่อยมีพื้นที่ในสังคม หนำซ้ำพวกเขาเองควรจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่กระทำบ้าง ยืนยันว่าสิ่งที่ตนแถลงข่าวและพูดไปเป็นตามสิ่งที่ตนเห็น อีกทั้งที่ออกมาแถลงตนก็ไม่ได้ระบุว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่พูดในมุมที่ได้รู้
ทั้งนี้ การเข้าไปตรวจสอบหรือดูผลนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ยังมีประเด็นไหนติดใจหรือไม่นั้น ยอมรับว่าในแง่ของนิติเวชเมื่อวานนี้เองทางทนายและคุณแม่ไม่ได้ติดใจในประเด็นใดแล้ว เนื่องจากจากการนำเสนอผ่านรูปทางคุณแม่สงสัยประเด็นไหน ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้มีการอธิบายค่อนข้างชัดเจนและละเอียดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นกะโหลกโดนทุบ ทางเจ้าหน้าที่ก็มีการผ่ากระโหลกให้ดู ไม่พบร่องรอยร้าวของกระโหลก ไม่มีรอยช้ำชั้นผิวหนัง ตลอดจนในบริเวณที่มีการบอกว่าตาตก ทางเจ้าหน้าที่ก็ให้ตรวจสอบก็ไม่พบ ขณะที่ฟันเองหลังจากมีบางคนนำข้อมูลเผยแพร่หาว่าฟันหัก จริง ๆ ก็ไม่มี ฟันยังอยู่ครบ
"คนที่บอกว่าฟันหักทางโซเชียลมองคนเหล่านี้ค่อนข้างสร้างหลักฐานเท็จ โหกทั้งสิ้น ย้อนถามจะรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร หนำซ้ำยังทำให้ทางตำรวจโดนว่าฟรี ว่าฟันหักทำไมไม่แจ้งข้อหาโน้นนี้"
ส่วนตัวไม่ได้ถามถึงเรื่องของสารที่พบในร่างกายของเเตงโม เพราะต้องรอผลทาง พฐ. ที่ส่งไปพิสูจน์อีก 19 รายการ ขณะที่ในส่วนของบาดแผลที่ขาก็ไม่ได้ถึงกระดูก แต่หลายคนในโซเชียลก็พูดไปเรื่อย ส่วนร่องรอยอื่นก็ไม่ได้มีอะไรน่าสงสัยนอกเหลือจากประเด็นที่โซเชียลพูดถึง ทั้งร่องรอยการทำร้ายที่ใบหน้า หรือร่างกาย และร่องรอยอื่น ๆ ยืนยันว่าไม่มีอะไรน่าสงสัยจากที่ตรวจสอบ หลังจากนี้เหลือแค่พยานหลักฐานที่จะเอาผิดให้แน่นขึ้น นอกเหนือจากข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ส่วนจะเป็นข้อมูลอะไรนั้นยังขอเก็บเป็นความลับ ข้อเท็จจริงบนเรือตามที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุนั้นก็สอดคล้องกับตามกระแสข่าว แต่ประเด็นเรื่องนั่งฉี่ ในส่วนนี้ทางเจ้าหน้าที่จำนวจได้มีการตัดประเด็นดังกล่าวทิ้งไป เพราะไม่ใช่สาระสำคัญ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทนายเดชา เห็นแววนักสู้ในตัว ทนายกฤษณะ ลั่น! จะปั้นให้ดัง เผย ตร.เตรียมแจ้งความ นักสืบโซเชียล ปั่นเฟกนิวส์
- ทนายรัชพล ยื่นเรื่องเอาผิดแก๊งสปีดโบ๊ต ไม่ยอมตรวจสารเสพติด
- ไทด์ เอกพันธ์ ยืนยันพูดตามสิ่งที่เห็น แตงโม ฟันหักครึ่งซี่ ไม่ได้บอกว่าฟันหลอ