นายกฯ กำชับเร่งรัดฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง 608 และเด็กให้ทั่วถึงมากที่สุด ย้ำรักษามาตรการ VUCA ช่วยควบคุมการติดเชื้อ ศบค. เห็นชอบปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ขอให้มีการติดตามสถานการณ์การกลายพันธุ์ และผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งการพัฒนาชุดตรวจหาเชื้อ ประสิทธิภาพของวัคซีน รวมทั้งอาการและความรุนแรงของโรค การตอบสนองต่อยารักษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ จากมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่เห็นชอบการปรับโรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น ยืนยันว่าไม่ใช่ในเวลานี้ เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า กำหนดเป็น 4 ระยะ ซึ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โรคโควิด-19 จะออกจากโรคระบาดและเข้าสู่โรคประจำถิ่น เป็นการคาดการณ์โดยจะต้องพิจารณาสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นด้วย เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นไว้ใจ ให้ประชาชนใช้ชีวิตได้ปกติ สามารถทำมาค้าขายได้ ดังนั้น มติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ จึงเป็นเสมือนทิศทางการทำงานของทุกหน่วยงานในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ทั้งเตรียมการให้พร้อมการตรวจหาเชื้อ การฉีดวัคซีน ระบบการดูแลรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อเพื่อลดการระบาดและลดจำนวนผู้เสียชีวิต เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ และให้เศรษฐกิจสามารถขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเร่งรัดสร้างการรับรู้ว่าการได้รับวัคซีนจะทำให้ลดความรุนแรงของโรคได้ โดยนายกฯ กล่าวแสดงความห่วงใยกลุ่ม 608 ที่ยังไม่ฉีดวัคซีนและผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกไต ทำให้ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ รวมถึงให้เร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และฉีดวัคซีนสำหรับเด็กให้ทั่วถึงให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญยังคงต้องรักษามาตรการ VUCA คือ การฉีดวัคซีน (Vaccine) การป้องกันตนเองตลอดเวลา (Universal Prevention) ซึ่งจะช่วยควบคุมการติดเชื้อได้ สำหรับสถานประกอบการต่าง ๆ ยังคงใช้มาตรการ COVID-Free Setting และการตรวจ ATK อย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งได้มีการปรับมาตรการไปแล้วหลายอย่าง และขอให้ใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้ที่ฝ่าฝืน