วันที่ 22 มีนาคม 2565 นางสาวรสนา โตสิตระกูล ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา ทนายความ และแกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) ได้เดินทางมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อ ดีเอสไอ ให้รับ "คดีแตงโม" ไว้เป็นคดีพิเศษ
เบื้องต้นการเข้ายื่นหนังสือครั้งนี้เกิดจากที่ทางนางสาวรสนาและทีมงาน มีความสงสัยในการสืบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีการเสียชีวิตของ "แตงโม" ซึ่งมีทิศทางของคดีไปในลักษณะว่าประมาทหรืออุบัติเหตุ แต่พฤติการณ์และพยานหลักฐานที่ปรากฏเข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมอำพราง โดยมีกระบวนการของผู้มีอิทธิพล ตลอดจนยังมีกระบวนการทำลายหลักฐาน จัดทำหลักฐานใหม่ รวมไปถึงอาจจะมีการเบี่ยงเบนประเด็นผลการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐาน ผลการตรวจทางนิติเวช และนิติวิทยาศาสตร์ โดยมีการตั้งข้อสังเกตที่ควรจะมีการพิจารณาอีกครั้งใน 11 ประเด็น ดังนี้
1. ปมการเปลี่ยนสถานที่ชันสูตรพลิกศพแบบกะทันหัน
2. การเข้าถึงพยานหลักฐาน ตัวบุคคล รวมไปถึงการอายัดของกลางกลับไม่เป็นไปโดนฉับพลัน
3. ความล่าช้าในการตรวจร่างกาย เครื่องแต่งกาย รวมไปถึงร่องรอยต่าง ๆ ในร่างกายของผู้อยู่ภายในเรือ
4. การตั้งประเด็นสืบสวนสอบสวนที่มุ่งเป้าไปยังการประมาทหรืออุบัติเหตุ ค่อนข้างคับแคบไป ส่งผลต่อการสอบปากคำและค้นหาพยานหลักฐาน พยานแวดล้อม
5. ขณะที่ข้อมูลยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตตกน้ำไปได้อย่างไร และทำไมถึงช่วยตัวเองไม่ได้ในขณะที่พลัดตกลงไปในน้ำ ส่งผลให้ทำไมคนที่อยู่ถึงไม่สามารถช่วยไว้ทันเวลา
6. ขณะที่ตกน้ำตอนนั้น ผู้เสียชีวิตมีสติหรือไม่
7. สิ่งแปลกปลอมที่พบในร่างกายทั้งในส่วนของปอด มีความสอดคล้องกับพื้นดินใต้น้ำในจุดที่ตกลงไปหรือไม่
8. การตรวจโรงเก็บเรือมีการตรวจอย่าละเอียดหรือไม่ มีการเคลื่อนย้ายถอดถอนกล้องวงจรปิดหรือไม่ ตลอดจนมีการทำผนัง ทาสีใหม่หรือไม่
9. การตรวจสอบเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารของบุคคลที่เกี่ยวข้องมีการตรวจอย่างละเอียดและครบหรือไม่ มีการนำเครื่องมือสื่อสารเครื่องอื่น ๆ ที่ไม่เปิดเผยอยู่ในข่วงนั้นหรือไม่
10. ประเด็นเรื่องการอายัดเรือในประเภทและลักษณะเดียวกับลำที่เกิดเหตุ ตอนนี้มีการอายัดหรือไม่ และตรวจสอบรวบรวมหรือไม่
11. การสืบสวนโดยพนักงานสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้ คล้ายว่าไม่ได้เป็นการค้นหาความจริงตามที่สังคมแคลงใจ จนยากที่สังคมจะเชื่อมั่นและยอมรับ
ซึ่งจากข้อมูลข้างต้น ความเห็นส่วนตัวมองว่ากรณีพบผู้เสียชีวิตภายในน้ำทางเจ้าหน้าที่ควรจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่า การจมน้ำอาจจะไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิตเพียงอย่างเดียว ตลอดจนไม่ควรคิดว่าจุดที่พบศพคือจุดที่เกิดเหตุด้วยช้ำ รวมไปถึงร่องรอยของบาดแผลตามร่างกายมีการจงใจทำให้เกิดขึ้นหรือไม่ และการกระทำดังกล่าวเล็งเห็นถึงการเสียชีวิตหรือไม่ มีการรู้เห็นเป็นใจร่วมกันกระทำการหรือไม่ ตลอดจนมีบุคคลอื่นเข้ามาแทรกแซงด้วยหรือไม่ เพื่อความชัดเจนและแม่นยำ จึงมีการยื่นเรื่องในวันนี้เพื่อให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษอย่างเร่งด่วน
นางสาวรสนา และนายนิติธร เปิดเผยว่า สำหรับวันนี้มีความประสงค์อยากให้ดีเอสไอพิสูจน์ความจริงในคดีของแตงโม เพราะเป็นที่สนใจของสังคม เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมและความปลอดภัยในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะว่าเหตุการเสียชีวิตตอนนี้เองยังไม่ได้ทราบแน่ชัดว่าเป็นอุบัติเหตุหรือฆาตกรรมอำพราง ทำให้เกิดความสงสัยของสังคม ตลอดจนมีการเรียกร้องให้มีการพิสูจน์ถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างจริงจัง เพื่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นได้รับความคลี่คลายก่อนที่พยานหลักฐานทุกอย่างจะสูญหาย จึงได้ทำการร่างหนังสือเป็นข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ จำนวน 11 ข้อให้กับทางดีเอสไอพิจารณา
ส่วนประเด็นที่ยังสงสัยคือ บาดแผลในร่างกายผู้ตาย หลักฐานพยานวัตถุอื่น ๆ เช่น เรือ รวมถึงพฤติกรรมกลุ่มเพื่อน ที่คนตกน้ำไปทั้งคนแต่ไม่ช่วยกันเหลือ มองว่าคนหนึ่งคนตกน้ำทั้งที่มีเพื่อนอยู่ในเรือกลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ เปรียบเหตุการณ์สุนัขตกน้ำคนยังกระโดดลงไปช่วย แต่ทำไมเหตุการณ์นี้ คนทั้งคนหนำซ้ำยังเป็นเพื่อน ทำไมถึงปล่อยให้เขาจมหายไปทั้งที่ไม่ทำอะไร"
ทั้งนี้ การเดินทางมายื่นหนังสือ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน คุณแม่ของแตงโม แต่ก่อนหน้านี้ได้เรียกร้องไปทางนายกรัฐมนตรีว่าแล้วว่าให้รับเป็นคดีพิเศษ แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ มองว่าหากเป็นครอบครัวดำเนินการยื่นเรื่องต่อดีเอสไอก็จะเป็นเรื่องง่าย แต่ตนเองมายื่นในฐานะประชาชนที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น ต้องการให้มีการสืบสวนสอบสวนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสงสัยลักษณะบาดแผลหลายแห่ง รวมทั้งร่องรอยต่าง ๆ ที่พบบนร่างกายด้วย อีกทั้งมีบุคคลแทรกแทรงการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสืบสวนสอบสวน หรือพนักงานสืบสวนสอบสวนยอมรับการแทรกแทรงรับผลประโยชน์หรือไม่
ทนายนิติธร กล่าวเสริมว่า ประเด็นที่ยื่นเรื่องสำคัญคือลักษณะบาดแผลที่มีการพูดถึงการตรวจครั้งที่ 2 ที่เป็นบาดแผลใหญ่ แต่บาดแผลเกิดก่อนหรือเกิดในขณะอยู่ในน้ำหรือไม่ หากเกิดบาดแผลแล้วอยู่ในน้ำจะทำให้ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำหรืออยู่ในสภาวะหมดสติหรือไม่ และถ้าพฤติกรรมของคนบนเรือมีเพื่อนตกน้ำแล้วไม่ช่วย เป็นการทำให้เล็งเห็นได้ว่าจงใจให้เสียชีวิตหรือ เล็งเห็นผลถึงการเสียชีวิตหรือไม่
ซึ่งการสืบสวนสอบสวน ถ้ากรณีของคนตกน้ำ อย่าเชื่อว่าเสียชีวิตจากการจมน้ำเพียงอย่างเดียว และอย่าเชื่อว่าจุดที่พบศพอาจไม่ใช่จุดที่เกิดเหตุ แม้กระทั่งการตรวจสอบพื้นน้ำในจุดตกและจุดพบศพ ก็ควรตรวจสอบว่าเป็นอย่างไร ทั้งนี้ อยากให้กลับไปดูพยานหลักฐานเก่าก่อนว่าพนักงานสอบสวนอธิบายชัดหรือยังว่าการประมาท ร่องรอยของการเกิดบาดแผล อะไรที่ทำให้เกิดบาดแผล และพยานหลักฐานที่มีอยู่เชื่อมโยงกับอะไรได้บ้าง เพราะตั้งแต่เริ่มต้นมีการตั้งประเด็นประมาทกับอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความคับแคบในการหาพยานหลักฐาน ซึ่งมองว่าผ้าขาวที่อยู่ในชุด หรืออื่น ๆ ก็พยานหลักฐานทุกอย่างที่ความจะต้องหา เพราะจะทำให้มีผลของคดี ที่นำไปสู่การเข้าข่ายว่าจะเป็นเล็งเห็นผลหรือมีเจตนาได้หรือไม่ด้วย ยืนยันว่าการมายื่นหนังสือในครั้งนี้ ตนเองถูกทำให้สงสัยจากการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน และคำให้การของคนที่เกี่ยวข้อง ข้อสงสัยเหล่านี้ไม่มีคำตอบ ส่วนที่เจ้าหน้าที่อาจจะบอกว่าเป็นข้อเท็จจริงในสำนวนที่ไม่เปิดเผย แต่ตนเองมองว่าสิ่งที่เปิดเผยก็มีข้อสงสัยทั้งนั้น จึงควรทำให้กระจ่าง และควรทำเรื่องนี้อย่างเปิดเผย
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณี น.ส.รสนา โตสิตระกูล ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับคดีแตงโมไว้เป็นคดีพิเศษว่า เดี๋ยวค่อยว่ากัน เพราะต้องมีการลงรายละเอียด ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพูดเป็นทางเดียว ส่วนตนจะช่วยเต็มที่ อะไรที่เป็นหน้าที่กระทรวงยุติธรรมก็จะพยายามให้ความสะดวกเต็มที่ไม่ต้องห่วง
เมื่อเวลา 15.00 น. ล่าสุด นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน คุณแม่ของแตงโม แถลงข่าว โดยให้ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ในฐานะทนายความคดีแตงโม ต่อสายโทรศัพท์แถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนว่า ก่อนหน้านายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หรือ ส.ส.เต้ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เคยมาบอกแม่แล้วว่าจะให้นำคดีน้องเข้าดีเอสไอ แต่ไม่ให้คำตอบ เพราะเห็นการทำงานตำรวจ แม่มั่นใจการทำคดี โดยเฉพาะ ผบ.ตร. สั่งการชุดคลี่คลายคดีว่าต้องทำคดีอย่างละเอียด จึงไม่อยากให้หน่วยงานอื่นเข้ามาทำให้คดียุ่งเหยิง วุ่นวาย และไม่เห็นด้วยกับบุคคลที่ไปวุ่นวาย แต่มองว่าเป็นความหวังดีนั้นแม่เข้าใจ
"แม่ได้เห็นสำนวนแล้วหน้าหลายหน้า มองว่าตำรวจทำคดีครอบคุมทุกจุด ทั้งหวังดี และรอบคอบ เกือบจบงานนี้แล้ว จะมาเริ่มใหม่คิดว่าจะยุ่งไปหมด อีกทั้งก่อนหน้านี้บุคคลเหล่านี้ก็ไม่เคยประสานและไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว มาเห็นในทีวี แต่ไม่คิดว่าจะมีอะไรแอบแฝง เพราะคดีไม่ได้มีอะไรแอบแฝง มีแค่คน 5 คนบนเรือ บี้แค่คน 5 คนก็พอ" แม่ของแตงโม กล่าว
ส่วนแม่มอบอำนาจให้ทนายเดชาจัดการทั้งหมดทั้งในเรื่องกฎหมาย แม่ไม่มีสิทธิที่จะออกความเห็น หรือแนะนำใค รอย่างไรก็ตามเรื่องนี้แม่ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าไม่เห็นด้วยจึงปรึกษาทนายทันที นอกจากนี้ เรื่องนี้ยืนยันไม่เป็นประโยชน์ ขอให้หยุดดิ้นดีกว่า และอีกไม่นานจะรู้ความจริง เชื่อมือตำรวจมีหลักฐานเต็มมือ คอยดูวันแถลงเดี๋ยวจะช็อก
สำหรับการเคลื่อนไหวของแฟนคลับน้องแตงโมที่ผ่านแม่มองเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะการถือรูปน้องที่หน้าสถานีตำรวจ ดูเรียบร้อย น่ารัก เป็นการเรียกร้องความเป็นธรรมให้น้อง แต่ถ้าก้าวกายในคดี แม่ขอให้ทนายเดชาตัดสินใจ แต่ไม่ใช่การฟ้องร้อง แต่เป็นการพูดคุยและขออย่างเดียวว่าอย่ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีทนาย หากต้องการอะไรให้คุยกับทนาย โดยเฉพาะหลักฐานใหม่ ๆ ถ้ามีจริง ก็มอบทนายเดชา ไม่ต้องมาให้แม่ มีจริงไหมหรือมโน
สุดท้าย แม่อยากฝากว่าขอบคุณสื่อที่ติดตาม ให้ความเคารพ แม่รักพวกคุณเหมือนลูก ยอมนอนน้อยรับสายสื่อทุกสาย เป็นเวลา 1 อาทิตย์ ขอบคุณตำรวจทุกคนที่เกี่ยวข้อง ที่ทุ่มเททำงาน เห็นทุกคนเหนื่อย กินไปทำงานไป โดยเฉพาะท่านผู้ใหญ่ทำงานจนหน้าเครียด สุดท้ายขอบคุณทุกคนที่รักน้องโม อยากได้ความเป็นธรรมให้น้อง เราจะได้ความเป็นธรรมขออย่าคิดกันไปเอง รอตำรวจแถลง เพราะตำรวจมีข้อมูลที่ไม่เคยได้ยินก็จะได้เห็น แต่ถ้าไม่พอใจค่อยว่ากัน ขอให้เป็นเรื่องตำรวจ ให้เกียรติตำรวจซึ่งเป็นผู้พิทักษ์ประชาชน ส่วนทั้ง 5 คน แม่ขอฝากไปที่ปอที่เคยพูดไว้ว่า “สึกมาจะสารภาพให้หมด” มีทั้งพูดส่วนตัวกับแม่และได้เคยพูดต่อสาธารณะ แม่เชื่อว่าถ้าปอพูด ข้อมูลจะกระจ่าง เพราะปอไม่ใช่คนธรรมดา ปอเป็นสุภาพบุรุษ คำนี้ยิ่งใหญ่มาก
ส่วนที่ชาวโซเชียลฯ วิจารณ์ว่าแม่ได้เงินจากปอและโรเบิร์ต แม่ถึงขั้นร้องกรี๊ดบอกสื่อว่ายังไม่ได้สักบาท แต่เริ่มอยากได้จริง ๆ แล้ว 30 ล้านบาท ทำไมยังเอามาพูดกัน เพราะไม่ได้ได้ง่าย ๆ การเยียวยามีขั้นตอน ส่วนจะเรียกเท่าไรนั้น แม่ไม่ได้ และบาทเดียวก็ยังไม่ได้ ขออย่าถามข้ามขั้นตอน
ประเด็นที่หลายคนยังติดตามสำหรับเรื่องการเสียชีวิตของนักแสดงสาว “แตงโม นิดา” รวมไปถึงเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโซเชียลฯ กับการปลงผมบวชพราหมณ์ของ “ปอ-ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์” และ “โรเบิร์ต-ไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์” ณ ธรรมสถานวิโมกสิวาลัย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับแตงโมที่นับถือศาสนาคริสต์นั้น
"อั๋น ภูวนาท" เปิดเผยว่า อะไรที่ต่อให้เป็นความจริงแล้ว แต่มันไม่ตรงกับความเชื่อในใจเรา เช่น เราอยากเชื่อว่าคนนี้ผิด แต่ผลประกาศออกมาว่าเขาไม่ผิด อยู่ดี ๆ เราก็จะไม่เชื่อแบบนั้น สุดท้ายตนเชื่อว่าในที่สุดคดีนี้ต้องจบที่ข้อเท็จจริง แล้วข้อเท็จจริงจะไปได้แค่ไหนก็ต้องยึดตามหลักฐาน แต่เราก็มีสิทธิ์เชื่อว่าเขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
การที่ปอ-โรเบิร์ตไปบวช บางคนอาจจะตั้งตำถามว่าเขาอาจจะหลบหนีไหม แต่เขาก็ไม่ได้หลบหนี หรือบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาโกนหัวบวช เพื่อไม่ให้ตรวจ DNA ที่ผมหรือเปล่า แต่ก็มีการออกมาแจงแล้วว่าเรื่องการตรวจ DNA สามารถตรวจได้ที่ขนด้วย แต่หากเขาอยากจะไปบวช เพื่อลบล้างความรู้สึกผิดในใจ ตนเชื่อว่าเขาก็มีสิทธิ์ทำ แต่เเค่ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกตะหงิดสงสัยในใจได้ และตนเชื่อว่าคนเราไม่สามารถทำบุญเพื่อล้างบาปได้ แต่ก็เชื่อว่าเขาไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในฐานะที่ตนได้ติดตามข่าวก็อยากให้คดีจบโดยเร็ว ส่วนตัวคิดว่าความคืบหน้าทางคดีน้อยมาก ถ้าเอาความจริงมาพูดกันคดีคงจบเร็วกว่านี้ หากว่าผลสรุปคดีเป็นอย่างไร ตนก็พร้อมจะยอมรับข้อเท็จจริง อย่างคลิปวงจรปิดต่าง ๆ ที่บอกว่าชัดมาก เห็นชัวร์ ตนได้ดูทุกคลิปแล้ว พยายามปรับแสงก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นว่าคลิปไหนที่ชัดเจน หวังว่ากระบวนที่ได้มาซึ่งข้อเท็จจริงจะไม่เป็นข้อกังขาของสังคม ซึ่งตอบไม่ได้หรอกว่าจะทำอย่างไรให้ทั้ง 5 คน พูดความจริง ถึงต่อให้เขาพูดความจริง แต่ไม่ตรงกับใจเรา เราก็ยังจะเชื่อว่าเขาโกหกอยู่ดี เรื่องการเสียชีวิตของเเตงโมเหมือนเป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทย อยากให้นำมาเป็นส่วนที่ใช้ในการผลักดัน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคมไทย แต่ไม่อยากให้คนใส่อารมณ์จนเกินไป
Advertisement