จากกรณีเพจ "อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทิร์น part 2" ได้แชร์เรื่องราว ของผู้พิการทางการได้ยินกับการคุยแชต และบททำโทษ ที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์เรื่องดังกล่าวไว้ว่าพี่ชายที่รู้จักทำงานเป็นสตั๊นแมน มีความผิดปกติทางการได้ยินตั้งแต่ 2 ขวบ เพราะอุบัติเหตุตกบันใดบ้าน ทำให้เกิดภาวะหูตึง ส่งผลทำให้การพัฒนาเรื่องการพูดบกพร่อง พูดไม่ชัดตั้งแต่เด็ก
ล่าสุด วันที่ 25 มี.ค. 65 นายกฤต ผู้เสียหาย อายุ 34 ปี เปิดเผยว่า ช่วงประมาณวันที่ 15 -17 มี.ค. ได้ทักเฟซบุ๊กไปหาลูกสาวคู่กรณี ถามไถ่ความเป็นอยู่ต่าง ๆ และชมว่าน่ารัก แต่ไม่ได้คิดอะไร อาจจะทำให้ทางลูกสาวคู่กรณีไม่พอใจ แล้วตอบกลับมาว่าจะฟ้องพ่อ พร้อมส่งรูปภาพคล้ายถือวุธปืนมาขมขู่ ตนก็รู้สึกผิด จึงขอโทษกลับไปก็นึกว่าเรื่องจะจบ
กระทั่งวันที่ 17 มี.ค. ที่ผ่านมา รุ่นพี่ในวงการที่ทำงาน ได้ทักมาหา ห้ามไม่ให้ยุ่งกับลูกสาวคู่กรณี ซึ่งก็ได้รับปาก และพยายามจะเข้าไปขอโทษทางคู่กรณี แต่รุ่นพี่ในวงการที่ทำงานสตั้นแมนได้บอกว่าอย่าเพิ่งเข้าไปเลย จนกระทั่ง วันที่ 18-20 มี.ค. ที่ผ่านมา รุ่นพี่ในวงการที่ทำงานสตั๊นก็ได้ทักไลน์มาพูดคุยถึงประเด็นที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมถูกข่มขู่ว่า "ถ้าหากเขาไปยุ่งอีก จะเรื่องใหญ่กว่านี้ อย่าหาว่าไม่เตือน" พร้อมแนะให้ตนเข้าไปขอโทษกับทางคู่กรณี วันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา
นายกฤต ยอมรับว่า เคยเจอลูกสาวคู่กรณี 2 ครั้ง เนื่องจากร่วมงานกับพ่อเขา แต่ก็ไม่เคยพูดจากันทักทายกันแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กเท่านั้น ยืนยันว่าที่ทักแชตไปไม่ได้เป็นการจีบ แค่ทักไปคุยเล่นเท่านั้น วันเกิดเหตุในคลิปที่โดนตบ คู่กรณีได้การนัดไปพูดคุยทั้งเรื่องงาน เรื่องลูกสาว ซึ่งตนก็ขอโทษ และบอกว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจ" แต่ทางคู่กรณีก็ไม่ฟัง พร้อมตบหน้า 3 ที ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นไปตามคลิป หลังเกิดเหตุทางคู่กรณีก็ไม่ได้มีการติดต่อมาขอโทษ แต่หากเขายอมขอโทษ ตนก็พร้อมให้อภัย แต่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
นายธนาวุฒิ เกสโร หรือ ครูดำ คู่กรณี เจ้าของยิม เปิดใจว่า ตนรู้จักกับนายกฤตมาหลายปีแล้ว รู้จักกันผ่านน้องที่เคยร่วมงานกัน ซึ่งตอนนั้น ตนเองเห็นว่านายกฤตตกงานในช่วงโควิด-19 จึงสงสารเลยให้มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านระยะหนึ่ง และในระหว่างที่นายกฤตพักอาศัยอยู่ ตนเองได้สังเกตถึงพฤติกรรมว่านายกฤตเป็นคนที่ชอบมีปัญหากับทีมงานผู้หญิงบ่อยครั้ง เรื่องในเชิงชู้สาว ชอบแซวผู้หญิงในเชิงคุกคามเป็นประจำ ซึ่งตนเองก็ได้เคยให้ทีมงานไปตักเตือนหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล
ปัญหานี้เริ่มต้นมากจากที่นายกฤตเบี้ยวการถ่ายทำภาพยนต์ทั้งที่วางตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะนายกฤตมีปัญหากับทีมงานผู้หญิง ซึ่งทำให้เสียหายเป็นมูลค่าหลายแสน ตนโกรธเป็นอย่างมาก เพราะวางแผนงานไว้เรียบร้อยหมดแล้ว แต่อยู่ดี ๆ ต้องมาเปลี่ยนตัวนักแสดงใหม่ จนกระทั่งมาอีกวัน นายกฤตก็ขอกลับมาเล่นภาพยนต์ต่อพร้อมกับขอโทษ ตนเองไม่ชอบคำขอโทษ เพราะมองว่าคนขอโทษ คือคนที่ชอบกระทำความผิด ซึ่งตนเองพยายามจะไม่ถือสาไม่อยากยุ่งเกี่ยว
จนกระทั่งผ่านไป 3-4 วัน ลูกสาว ได้ส่งแชตมาบอกว่า นายกฤตทักไปหาช่วงเวลาตี 1 ในทำนองถามว่า "เหงาไหม" จนทำให้โกรธหนักขึ้น เนื่องจากตนเองเป็นคนที่รักครอบครัวเป็นอย่างมาก ใครก็ตามห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับลูกสาว วันเกิดเหตุที่จริงแล้วตนเองไม่ได้เป็นคนนัดนายกฤตมาพูดคุย แต่นายกฤตเดินทางเข้ามาพบเอง ยอมรับว่าไม่อยากพูดคุย ไม่อยากเจอหน้า เพราะช่วงแรกอารมณ์ยังปรี๊ดอยู่ แต่นายกฤตก็ไม่ยอมฟัง ยืนยันจะเข้ามาพบ จนกระทั่งมาได้นั่งพูดคุยกันซึ่งนายกฤตก็เข้ามาขอโทษ บอกว่าได้เลิกคุยกับลูกสาวไปแล้ว แต่พอถามไปถามมารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ไม่ได้มีเจนตนาตั้งใจจะทำร้าย แต่นายกฤตทำหน้าทำตาพูดจายียวนกวนประสาท แต่ตนต้องทำเพราะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของลูกสาว
ซึ่งหากตั้งใจตบ ตนจะตบทั้งแว่น แต่นี่ตนให้ถอดแว่นก่อน ถือเป็นการตบทำโทษสั่งสอนจากรุ่นพี่ เหมือนพี่ทำโทษน้องมากกว่า ดีแค่ยังถูกตบ ถ้าเป็นคนอื่นมันจะไม่ใช่แค่ตบแน่นอน ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนผิดจริง ตอนนี้ได้ให้ทนายรวบรวมข้อมูลฟ้องบุคคลที่ 3-4 ในข้อหาทำให้เสียชื่อเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม หากตำรวจเรียกตัวก็พร้อมที่จะไปพบทันที ยืนยันว่าจะไม่ขอร่วมงานกับนายกฤตอีก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ต้องขอฝากสื่อขอโทษนายกฤตด้วยเช่นกัน สิ่งที่ครูดำทำไปเป็นการตบอย่างมีเหตุผล