จากกรณีนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี หลังมีกระแสข่าวว่าเป็นผู้ที่ก่อเหตุ ล่อลวงหญิงสาวผู้เสียหายหลายรายไปข่มขืนและกระทำอนาจารนั้น
วันที่ 20 เม.ย. 65 พิธีกรชื่อดัง "บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี" เปิดใจว่าครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกนักการเมืองให้คนเอารถตู้มาพาตัวจากเวทีงานอีเวนต์ไปส่งโรงแรม เล่าว่า เหตุการณ์ไม่ได้ถึงขั้นลวนลาม แต่รู้สึกว่าอุกอาจ เพราะมีการต้อนเราขึ้นตู้ไปทั้งที่เราบอกว่าไม่ว่าง เป็นการปฏิเสธโดยสุภาพ ซึ่งบุคคลที่กระทำเป็นนักการเมือง ตอนนั้นตนเป็นพิธีกรในงานที่ต่างจังหวัด นักการเมืองคนนี้ก็ขึ้นเวทีมาเปิดงาน พร้อมกล่าวชมตนเองว่าตนว่าสวย ตนก็ได้แต่กล่าวขอบคุณ เราก็คิดว่าจะจบแค่นั้น
สักพักออร์แกไนซ์ก็วิ่งไปหาผู้จัดการ เพื่อขอให้ตนไปทานข้าวกับนักการเมืองท่านนี้ ทางผู้จัดการก็ปฏิเสธด้วยเสียงนุ่มนวลไปว่าตนติดงานต่อที่กรุงเทพฯ จึงต้องรีบกลับ แต่ความจริงไม่ได้มีงาน ตั้งใจว่าจะกลับไปไหว้พระ เมื่อปฏิเสธไปเหมือนเขาไม่ฟัง ผู้จัดการจึงส่งกระดาษมาให้เราบนเวที บอกให้ตนลงเวทีฝั่งขวา เพราะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากที่ตนกล่าวสวัสดีบนเวทีเสร็จ ทีมงานขึ้นมาดันตนเองลงซ้าย พร้อมกับมีรถตู้สีดำเปิดประตูรอในขณะที่ตนใส่ชุดไทย ตอนนั้นก็เลิ่กลั่กมองหาทีมงานของเรา สุดท้ายเราโดนดันขึ้นรถ พร้อมพูดว่า "เดี๋ยวไปเจอกันที่นู้น" ตนก็งงว่าที่นู้นคือที่ไหน เขาก็ปิดประตูออกรถเลย ในมือมีแต่สคริปต์พิธีกร ซึ่งปลายทางก็คือโรงแรมจริง ๆ แต่เป็นร้านอาหารด้านล่างโรงแรม และมีการเว้นที่ไว้ให้เราหนึ่งที่ เราก็รู้แหละว่าที่นั้นคือที่ของตนที่จะต้องนั่งข้างท่าน ตอนนั้นรู้สึกไม่ดีแล้ว กลัวคนเข้าใจว่าเราเป็นเด็กท่านด้วย เราก็คิดเยอะเรื่องภาพลักษณ์ สมัยนั้นสื่อไม่ได้มีพื้นที่ให้เราได้พูดแบบนี้ ดังนั้นตนจึงเอาตัวรอดด้วยการสวัสดีทักเสียงดังตะโกนไปถึงโต๊ะหลัง เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้ปกปิด และก็อยากให้คนช่วย เพราะไม่รู้จักคนที่อยู่ตรงนั้นเลย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเราก็รู้สึกอึดอัด เพราะเขามีการถึงเนื้อถึงตัวเราโดยการจับมือต่อหน้าผู้คน ตอนนั้นตนก็รู้สึกแปลก ไม่รู้ว่าเอาเราไปนั่งเพื่ออะไร ตนจึงหาวิธีการออกมาโดยการบอกท่านว่าจะไปเข้าห้องน้ำ อ้างว่าใส่ชุดไทยมานาน ยังไม่ได้เข้าห้องน้ำ ก่อนออกมาตนก็ไหว้ด้วย
หลังจากที่เข้าห้องน้ำเราก็เดินออกหลังโรงแรมเลย และวิ่งข้ามถนน 8 เลนด้วยชุดไทยและรองเท้าส้นสูง ตนพยายามออกจากพื้นที่โรงแรมก่อน บังเอิญมีคนจำได้เราได้ ตกใจว่าเรามาทำอะไรแถวนี้โดยที่ยังใส่ชุดไทย หน้าก็เต็ม ตนจึงยืมโทรศัพท์ โทรหาผู้จัดการ ให้วนรถมารับ ซึ่งทั้งหมดนี้ตนไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไร และตนไม่อยากรับรู้ไปมากกว่านี้ เพราะเราไม่ได้เต็มใจมา
หลังจากที่ตนทราบข่าวว่ามีนักการเมืองลวนลามข่มขืน ตนรู้สึกตกใจคอมเมนต์ที่บางคนมาคอมเมนต์ว่าทำไมผู้หญิงถึงยอมขึ้นไปบนห้อง ตนอยากให้มองหลายมุม เรามีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปทำงานกับผู้ชายได้ แต่ผู้ชายไม่มีสิทธิ์ข่มขืนเรา อย่างตนเองก็เคยขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินและได้นั่งกับ ส.ว. ทั้งที่ตนเลือกที่นั่งไม่ได้ ปรากฏว่าตนโดนแอร์เมาส์ว่าเรามากับเสี่ย ทั้งที่เราอยากให้เราดูเป็นผู้หญิงเก่ง สามารถทำงานร่วมกับผู้ชายได้โดยที่ไม่มีผู้ติดตาม
อย่างในกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงกับนักการเมือง ซึ่งหลายคนถูกกระทำโดยประเด็นการคุยงาน ทุกคนก็คิดว่าแค่เป็นการคุยงาน ไม่ได้คิดว่าจะถูกข่มขืน และผู้หญิงก็คงจะคิดว่า ผู้ชายที่เป็นนักการเมืองไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ ดังนั้นตนไม่อยากให้โทษแต่ผู้หญิง อยากให้ไปโทษคนที่กระทำผิด หลายคนก็ไม่กล้าแจ้งความเพราะคิดว่าเขามีตำแหน่งใหญ่โต ดังนั้น จงเปลี่ยนมุมมองใหม่อย่าโทษแต่ผู้หญิง เราต้องโทษคนชั่ว โทษคนผิด ซึ่งการเป็นนักการเมืองควรเป็นคนของประชาชน ยิ่งเป็นนักการเมืองจะต้องมีจริยธรรมและจรรยาบรรณที่ดี เพราะคุณคือผู้นำของบ้านเมือง ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเสียใจ ที่มีคนแบบนี้อยู่ในสังคม มันจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนเองกล้าออกมาพูดวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงเราต้องกล้าลุกขึ้นพูด เพื่อให้คนพวกนี้ไม่มีที่อยู่ในสังคม