กรณีหญิงสาวรายหนึ่งส่งคลิปวิดีโอ ขณะตัวเองกำลังใช้เชือกรัดคอลูกสาววัย 3 ขวบให้กับญาติคนหนึ่ง ซึ่งเด็กได้กรีดร้องออกมาและเรียกแม่ ๆ อยู่ตลอด จากการตรวจสอบพบว่าสาเหตุที่แม่ของเด็กส่งคลิปทำร้ายลูกตัวเองเพราะเคยขโมยรถยนต์ของญาติไปขายเมื่อต้นปี 64 ที่ผ่านมา จึงส่งคลิปทำร้ายเด็กเป็นตัวประกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าของรถผู้เสียหายไปแจ้งความกับตำรวจ
ทีมข่าวเดินทางเข้ามาพูดคุยกับ นางจริญญา บัคลี่ย์ อายุ 33 ปี เจ้าของรถยนต์และเป็นผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนมีศักดิ์เป็นอาของนางสาววราพรณ์ อายุ 24 ปี ผู้ก่อเหตุ ก่อนหน้านี้หลานสาว เคยโกงตน ชักชวนให้ตนเล่นแชร์ (ส.ค.64) ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 260,000 และหลานสาวก็ชิดเงินหนีไป ตนพยายามติดต่อแต่เขาก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด กระทั่งหลานสาวพาลูกของเขาหนี และข่มขู่ว่าจะปล่อยให้เด็กตาย ตนจึงตัดขาดจากการเป็นญาติไม่พูดคุยด้วย
จากนั้นประมาณเดือนต.ค.64 ตนได้ไปซื้อรถโตโยต้า ฟอจูนเนอร์ ในราคาเกือบ 1.9 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย และเพียงไม่นานลุงที่อยู่บ้านจังหวัดหนองคาย ก็นำรถไปให้นางสาววราพรณ์ใช้ ซึ่งตนก็เคยห้ามแล้วว่า "อย่าเอาไปใช้หลานใช้" เพียงไม่นานลุงก็แจ้งให้ตนทราบว่า "รถไม่กลับมาแล้ว รถหายไปแล้ว" ตนจึงไปแจ้งความรถหายเพื่อให้ตำรวจติดตามรถคืน ด้าน น.ส.วราพรณ์ ระบุว่า "ขอใช้ก่อน"
"1 วันหลังจากแจ้งความ หลานสาวก็ส่งคลิปข่มขู่ เอาเชือดรัดคอลูกสาววัย 3 ขวบ ส่งให้กับแฟนของเขาที่ต่างประเทศ และส่งมาให้หนู อ้างว่าจะให้โอนเงิน 70,000 บาท ไม่เช่นนั้นจะฆ่าเด็ก หนูเห็นแล้วจุกมากจึงไม่กล้าพูดแรงใส่ เพราะห่วงความปลอดภัยเด็ก จากนั้นไปแจ้งความว่าแม่เด็กพยายามทำร้ายลูก แต่ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความ เพราะว่าหนูไม่ใช่พ่อแม่" นางจริญญา กล่าวให้ฟังด้วยความสงสัย
นอกจากนี้ ตนพยายามกล่อมให้หลานสาวกลับมาที่บ้านเพื่อพูดคุยกัน แต่หลานก็อ้างว่าให้ไปหาเงินมาจำนวน 70,000 บาท เพื่อนำไปไถ่รถคืน เพราะหลานสาวนำรถไปจำนำแล้ว ตนยอมรับเลยว่าเครียดมาก ๆ ที่หลานสาวมีพฤติกรรมเช่นนี้ ตนไม่คิดว่าหลานจะทำแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ตนคอยช่วยเหลือครอบครัวมาโดยตลอด อีกทั้งครอบครัวของหลานสาวก็โยนความผิดให้ตนทั้งหมด อ้างว่าเป็นเรื่องของคน 2 คนจึงไม่ขอยุ่งเกี่ยว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายประกาสิทธิ์ สุทธิพรชัย อายุ 31 ปี น้องชายผู้เสียหาย เปิดเผยว่า นางสาววราภรณ์ อายุ 24 ปี หลานสาวของตนก่อเหตุหลายครั้งแล้ว ทั้งเรื่องโกงแชร์ จำนวนกว่า 260,000 บาท นำรถไปจำนำ และน่าจะเตรียมการวางแผนร่วมกับบุคคลคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับร้านรับจำนำรถ มีไลน์ปลอมที่สร้างขึ้นมาให้โอนเงินจำนวน 240,000 บาท เพื่อไถ่เอารถคืน พี่สาวของตนก็โอนให้ไป เพราะหลานสาวบอกว่า “หนูเคยจำรถมาแล้ว และได้รถกลับมา” แต่เพียงไม่นานก็ไม่สามารถต่อต่อได้อีกเลย เมื่อตนไปตรวจสอบดูแล้ว ก็พบว่าเป็นบุคคลที่หลานสาวตนรู้จักและสนิทสนม ตนจึงคิดว่าทั้งหมดเตรียมการเป็นขบวนการ
"ผมเดินทางไปที่คลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง แถวลาดพร้าว 71 เพื่อที่จะไปพูดคุย แต่เขาได้ปฏิเสธทุกอย่าง ผมจึงประสานตำรวจ สน.ลาดพร้าว เชิญตัวไปสอบปากคำก็ทราบว่า เขาหลอกให้โอนเงิน 240,000 บาทจริง ส่วนรถอยู่ที่ไหนนั้นไม่ทราบ ตอนนี้หลานสาวกลับไปที่จ.หนองคาย เนื่องจากกลับไปงานศพตา ตลอดระยะเวลาที่ผมและพี่สาวดำเนินเรื่อง หลานสาว ก็จะขู่เรื่องจะฆ่าตัวตาย จะทำร้ายร่างกายลูกตัวเอง" นายประกาสิทธิ์ กล่าวยืนยัน
ทั้งนี้ ตนเคยว่าหลานสาวว่า "เอาลูกมาเป็นลูกของพี่ไหม เดี๋ยวพี่รับเลี้ยงเองก็ได้” เพราะตนสงสารเด็กวัย 3 ขวบ เพราะหลานสาวสร้างเรื่องสร้างปัญหาไว้เยอะมาก ๆ ครอบครัวของเขาก็ปกป้องหลานว่าไม่ผิด ตนจึงอยากให้ตำรวจสืบหาความจริง ส่วนลุงที่อยู่บ้านเดียวกับหลานสาวที่จ.หนองคาย หากตรวจสอบว่ารู้เห็นเป็นใจกับเหตุการณ์ ก็จะให้ตำรวจดำเนินคดีทั้งหมด
นายกิตติพศ ยาจาม ผู้ใหญ่บ้าน ม.9 บ้านหมากหุ่ง จ.หนองคาย กล่าวว่า นางสาววราภรณ์ ไม่ค่อยกลับมาที่บ้านหลังนี้ นาน ๆ ครั้งถึงจะกลับมา ที่ผ่านมาตนเคยคุยกันเฉพาะช่วงที่เขามาติดต่อขอเอกสารทะเบียนราษฎร์ สำหรับนิสัยใจคอชาวบ้านในพื้นที่ไม่ค่อยมีใครทราบ เนื่องจากเขาไปใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัดนานแล้ว แม้กลับมาที่บ้านก็จะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ชาวบ้านบอกว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางสาววราภรณ์ มีลูกแล้ว จึงรู้สึกตกใจเหมือนกัน