จากกรณี พระธวัฒน์ จักกวโร หรือ หลวงพี่ย้อย พระที่ออกมาแฉเรื่องคลิปเสียงของพระกาโตะกับ น.ส.ตอง ในขณะนี้ขอปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวส่วนกลาง เนื่องจากคิดว่าตัวเองกำลังถูกกลั่นแกล้ง เพราะมีการไปสัมภาษณ์วัดที่หลวงพี่ย้อยเคยบวช แล้วพบพฤติกรรมว่าเคยยุ่งเกี่ยวกับสีกา แต่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมารับออกไปนอกวัด เพื่อพาไปหาหมอและออกไปกิจนิมนต์ในช่วงเวลาทั้งกลางวันกลางคืนนั้น
ล่าสุด ไลน์ของครูบี ที่มีการอัปเดตโพสต์ไว้ วันที่ 2 พ.ค.65 ว่า "พวกเสื-กเรื่องชาวบ้าน มันหนักหัวส่วนไหนถามหน่อยครับ เอาตัวเองให้รอดเถอะ จะทำอะไรกับใครจะอยู่กับไปไหนกับใคร มาเสื-กเรื่องส่วนตัวทำไม พวกเสื-กเรื่องชาวบ้าน เดี๋ยวเจอกันที ปากเก็บไว้ให้กินข้าวสุกเถอะ ทำให้เสียชื่อ เดี๋ยวเจอกันที"
อีกโพสต์ระบุว่า "บอกกล่าวคนนอกไม่ใช่พี่น้องเราสองคนนะ บอกคนนอกที่ชอบเสื-ก ทำมาหวังดีและมาหัวพอได้คิดรึว่าจะกลัว ความดีเท่านั้นที่แพ้ใจคน ถ้าคิดได้นะ คนเลวๆ ที่เสื-กทำให้วุ่นวายคือปัญหาที่เกิด ทำให้ใหญ่บานปลาย ไปคิดดู ถ้ามีสามัญสำนึกเป็นคนอยู่ไหม
ใครที่เสื-กเรื่องครอบครัวเรา ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรไม่สมควรมามั่ว บางครั้งดูเหมือนรุนแรงแต่อย่าคิดคาดการไปเอง บางครั้งถ้าอยู่กันสองคนไม่แน่เคลียร์กัน ลงตัวง่ายขึ้นก็เป็นไปได้ คนสองคนได้นั่งคุยกันสองคนเดี๋ววคุยกันได้จบกันง่ายก็เป็นไปได้นะ ต่อให้ทะเลาะรุนแรงแค่ไหนหรือกี่ครั้งไม่สามารถบอกได้
บางครอบครัวก็ไม่เคยทะเลาะ จะให้เหมือนกันทุกครอบครัวเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวลิ้นกับฟันมันธรรมดา จะมีลงไม้ลงมือ อย่าคิดทำหนักๆ เหมือนกันทุกคนอย่ามองว่าการลงมือทำไปแรงๆ อย่าคิดเช่นนั้น หรือทำไม่แรงก็ได้นะ คนทุกคนมีอาการบางอารมณ์ชั่ววูบ เดี๋ยวสักพักก็คิดได้กับสามัญสำนึกได้ว่าเราทำไปได้ง่ายและมาขอโทษกัน และให้อภัยกัน ทุกอย่างจะมีความน่ารักทุกสิ่งสอนบทเรียนเราเอง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าหรอกว่าอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้นและใครๆก็ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกเชื่อสิ"
อีกโพสต์ภาพข้อความว่า "ก่อนจะว่า เขาไร้ค่า เรามีค่า แค่ไหน? ก่อนจะว่า เขาไม่ดี! เรามีดีอะไร" พร้อมกับระบุข้อความว่า "คนดีเขาไม่เห่าหรอก เดี๋ยวได้รู้กัน ทำมาอ้าง มารยาทไปนั่งพี่พอได้ ขำไม่ออก"
อีกโพสต์ภาพควาย พร้อมกับระบุข้อความว่า "ควายยังหน้าไหว้ กว่าผู้ใหญ่บางคน ควายยังมีค่ายังรู้สึกสามัญสำนึกรู้จักทำดีช่วยคน แต่คนนี้แหละที่ทำฉลาดทำหวังดี แต่บางเรื่องราวไม่เหมาะสมควรมายุ่ง อย่าโตแต่ตัวสมองต้องคิดได้สิ หน้าที่การดีจริงว่าจะใช่นิสัยแต่สันดานคนนิแหละที่แก้ไม่ได้"
นายไผ่ (นามสมมติ) อายุ 55 ปี ในพื้นที่ อ.ฉวาง ภารโรงในโรงเรียนที่ครูบี (นามสมมติ) ภรรยาของพระย้อยเคยทำงาน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้หลวงพี่ย้อยเคยบวชเณรที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.เมืองนครฯ ทำให้มีหลายคนเรียกท่านว่า "น้องเณร" ในขณะนั้นน้องเณรก็ได้มีการคบหากับสีกา คือภรรยาในปัจจุบันที่ทำอาชีพครู เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้น้องเณรจะเคยมีภรรยามาก่อนหน้าเเล้ว 1 คน ไม่แน่ใจว่าเลิกราหรือภรรยาเสียชีวิต จึงได้มาคบหากับครูบี
ก่อนหน้าที่จะบวชหลวงพี่ย้อยเคยเป็นตำรวจอาสาในเมืองนครฯ มาก่อน จากนั้น ทั้งคู่ก็มีการเเต่งงานกัน จนครูบีตั้งท้องได้ 5 เดิอน แต่ก็แท้งลูกไป มีการฝังศพลูกไว้ที่บ้านเดิมคือ อ.ร่อนพิบูลย์ หลังจากนั้นภรรยาย้ายมาอยู่ที่ อ.ฉวาง ก็ย้ายมาด้วย แต่มาอ้างกับชาวบ้านในพื้นที่ว่าตัวเองเป็นตำรวจ ชอบเข้าหาพวกผู้ต้องหา เป็นสายสืบเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดให้ตำรวจ เรื่องนี้ชาวบ้านมาจับพิรุธได้ภายหลัง แต่ไม่มีการร้องเรียน
ทั้งนี้ ตอนที่ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ที่ อ.ฉวาง ครูบีได้สอนอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง สามีภรรยาก็มีเรื่องทะเลาะกันด้วนความหึงหวง ฝ่ายชายมีการบุกเข้าไปหาฝ่ายหญิงที่โรงเรียน เพื่อที่จะทำร้ายร่างกาย มีการบีบคอ ล็อกคอ จนฝ่ายหญิงวิ่งลงมาด้านล่างขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นครูเวรจึงได้โทรแจ้งความ หลังจากนั้นฝ่ายชายก็มีการพาฝ่ายหญิงกลับบ้าน ล็อกกุญแจมือขังไว้ในห้องเช่า จนกระทั่ง ผอ.โรงเรียน สั่งให้ตนและอาจารย์อีกคนไปติดต่อตำรวจที่โรงพัก ก่อนจะเดินทางมาที่บ้านเช่า เอาตัวฝ่ายชายกับฝ่ายหญิงออกมา เคลียร์กันที่โรงพัก ผลคือฝ่ายหญิงของแยกทาง ฝ่ายชายร้องไห้กลางโรงพัก ลักษณะเดียวกับตอนที่เจ้าอาวาสวัดหน้าพระลานไล่ออกจากวัด
เมื่อฝ่ายหญิงประกาศเช่นนี้ ฝ่ายชายก็มีการตามตื๊อ ตนและผอ.โรงเรียน สงสารให้การช่วยเหลือ ช่วงระยะเวลาหนึ่งตนเคยได้ขับรถไปรับไปส่งครูบีจากบ้านญาติในตลาดจันดีมาโรงเรียนเพื่อทำงานนาน 3 เดือน ช่วงนั้นน้องเณรไม่กล้าเข้ามายุ่งกับฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็ยืนยันกับตนว่าจะไม่กลับไปหาฝ่ายชายอีก ซึ่งตนมาทราบภายหลังว่าฝ่ายชายมีการไปตามตื๊อฝ่ายหญิงถึงบ้าน มีการไปร้องไห้ อ้อนวอนขอให้ฝ่ายหญิงกลับมาคืนดี แต่ญาติของฝ่ายหญิงไล่ โดยที่ไม่ทราบว่าฝ่ายหญิงยังคงมีการติดต่อกับผู้ชายอยู่ จากนั้นฝ่ายชายก็ไปบวชที่วัดโคกหาด ใกล้กับโรงเรียน ก่อนที่จะมีการไปขุดศพลูกมาจาก อ.ร่อนพิบูลย์ นำมาฝังไว้ที่วัด เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กัน 3 คนพ่อแม่ลูก
หลังจากนั้น ฝ่ายชายที่ขณะนั้นบวชแล้วก็มีการง้อฝ่ายหญิงมาตลอด เมื่อเห็นว่าไม่สำเร็จ ก็ได้คิดสั้นจะผูกคอฆ่าตัวตายในกุฏิวัดโคกหาด โดยช่วงที่ผูกต้องรอให้มีคนมาเห็นก่อน ไม่เช่นนั้นจะยังไม่ผูกคอ จนมีคนมาช่วยไว้ทัน และรถพยาบาลมารับ หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไป จนทราบอีกครั้งคือย้ายไปอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุง
ซึ่งในช่วงนี้ ชาวบ้านมีการพูดกันหนาหูว่า ครูบีมีการไปรับไปส่งพระในช่วงทั้งกลางวันกลางคืน เคยมีคนเห็นพระมาถางหญ้าให้ในช่วงกลางคืนที่บ้านเช่าก็มี อยู่กัน 2 คนในห้องเช่า แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำอะไรกัน ซึ่งต่อให้เป็นสามีภรรยากัน แต่ในเมื่อบวชแล้ว การกระทำแบบนี้ก็ไม่สมควร
ทีมข่าวได้เดินทางมาที่วัดโคกหาด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช พระทวี จิระธัมโม เจ้าอาวาสวัดโคกหาด พาไปดูจุดทึ่พระย้อยได้มีการนำศพลูกวัย 5 เดือนที่เสียชีวิตมาฝังไว้ ซึ่งจุดนี้อยู่บริเวณด้านหลังของเมรุเผาศพ ที่อยู่ใกล้กับอาคารเรียน ของโรงเรียนที่ภรรยาเคยทำงานอยู่ มีลักษณะคล้ายกับตะกร้าสีฟ้าถูกฝังดินไว้ มีขอบตะกร้าโผล่ออกมา