จากกรณีเมื่อวันที่ 10 พ.ค.65 หลังจากเจ้าหน้าที่นำหมายศาลบุกเข้าตรวจค้นสำนักประหลาด ของนายทวี หรือ พระบิดา ที่อยู่ในที่สาธารณประโยชน์บ้านกุดแคน อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ ต่อมา วันที่ 11 พ.ค.65 เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลดงกลาง ได้นำป้ายประกาศ เรื่องการกำหนดพื้นที่หวงห้ามเข้า-ออก มาติดไว้บริเวณหน้าทางเข้าสำนัก หลังพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพแวดล้อมไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเป็นเหตุให้เกิดโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ดูแลพื้นที่คัดกรองบุคคลภายนอกกันตลอด 24 ชั่วโมง
วันที่ 12 พ.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปตามหาที่อยู่ใหม่ของนายทวี หรือ พระบิดา ตามข่าวลือที่มีชาวบ้านพบเห็นกลุ่มลูกศิษย์และพระบิดาในพื้นที่รอยต่อ จ.ขอนแก่น และ จ.เลย ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ติดต่อ 3 อำเภอ คือ อ.ภูผาม่าน อ.ชุมแพ อ.ภูกระดึง
เวลาประมาณ 07.10 น. เมื่อลูกศิษย์เห็นรถของทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เข้ามาจอดด้านหน้าที่ดินดังกล่าว มีการทยอยขับรถที่จอดไว้ด้านนอกเข้าไปยังภายใน ให้ลูกศิษย์บางคนออกมาเอาไม้ไผ่กั้นเอาไว้ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า มีลูกศิษย์เป็นผู้หญิงใส่เสื้อสีส้ม ออกมายืนร่ายรำอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้า
จากนั้น บรรยากาศก็เริ่มตรึงเครียด เนื่องจากช่วงเช้ามีเพียงทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปพร้อมกับผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น มีนายบุญสูง และป้าลำไย ออกมาเจอกับทีมข่าว เมื่อช่างภาพสอบถามว่าจะย้ายลัทธิมาอยู่ที่นี่หรือไม่ นายบุญสูงก็ชี้หน้า ขึ้นกูขึ้นมึงด่าช่างภาพ แล้วก็บอกว่า "มึงอย่ามาใช้คำว่าลัทธิที่นี่ ไม่มีลัทธิอะไรทั้งนั้น ขอให้จบคำว่าลัทธิ"
หลังจากนั้น ทีมข่าวพยายามจะถามถึงเรื่องสินค้า เช่น ปลาร้าที่เจอในสำนักว่าเป็นของใคร และใครเป็นคนนำออกไปขายให้ชาวบ้าน นายบุญสูง ก็ชี้แจงว่าปลาร้าที่เห็นเน่าอยู่ภายในสำนัก เป็นปลาร้าที่หมักไว้ทำกินกันเอง ไม่ได้นำออกไปขาย ส่วนปลาร้าที่บรรจุภัณฑ์ ปิดฝาสีแดง เป็นปลาร้าที่ซื้อมาจากตลาดแบบสำเร็จรูป แล้วก็นำมาบรรจุใส่กระปุกออกไปขาย ตอนนี้ยังไม่ขอให้ข้อมูล "พวกคุณอยู่ก็ไม่ได้เจอพระบิดา ที่ต้องพาตัวพระบิดามาอยู่ที่นี่ ก็เพราะว่าตรงที่เดิมอยู่ไม่ได้ พระบิดาไม่ได้หนีไปไหน ตอนนี้พระบิดาสภาพจิตใจดี ไม่กังวลเรื่องคดี การมาอยู่ของพระบิดาถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และตั้งใจมาอยู่กันอย่างสงบ"
ส่วนเรื่องที่ยังไม่ได้แจ้งให้คนในพื้นที่รับรู้ ก็เพราะว่าเพิ่งจะมาอยู่ได้ 2 วัน ถ้าหากหน่วยงานไหนจะเข้ามาตรวจสอบ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องโควิด-19 ก็พร้อมให้เข้ามาตรวจได้ตลอดเวลา
หลังจากนั้น ป้าลำไยก็เดินออกมาชี้หน้าทีมข่าว ตะโกนข่มขู่จะทำลายทรัพย์สินว่า "ห้ามถ่ายรูป ถ้าถ่ายเอาตายเลย ยึดกล้องมันมา ถ้าเห็นถ่ายอีก จะเอากล้องมาทุบทิ้ง ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล" ทีมข่าวถามกลับไปว่าป้าลำไยว่าพาคนเข้ามาอยู่ที่นี่ ได้แจ้งคนในพื้นที่หรือยัง ป้าลำไยสวนกลับมาว่า "มึงไม่ต้องยุ่งเรื่องของกู เดี๋ยวกูจะไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเอง" ทีมข่าวก็บอกป้าลำไยว่า "ผมพูดกับป้าดี ๆ ทำไม ป้าถึงต้องขึ้นมึงขึ้นกู" ป้าลำไยก็บอกว่า "กูไม่สน" กระทั่งนายบุญสูงต้องไล่ป้าลำไยกลับเข้าไป
หลังจากนั้นพอเริ่มมีสื่อมาหลายช่อง นายบุญสูงก็นำป้ายมาติดประกาศ "ห้ามเข้าพื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต" โดยมีผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยฯ และ อสม. เข้าพื้นที่ไปตรวจสอบคัดกรองลูกศิษย์ที่อยู่ภายใน แล้วก็นำรถขนของมาจอดขวางทางไว้ที่ด้านหน้าพยายามปิดบังไม่ให้เห็นคนด้านใน ต่อมาก็สาวกของพระบิดา นายเนตร ขับรถกระบะมาด้วยความเร็ว จนทีมข่าวและผู้ใหญ่บ้านวิ่งแตกกระเจิง
เมื่อนายเนตร ลงจากรถ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็เข้าไปถามว่า "เป็นยังไงถึงต้องขับรถเร็วขนาดนี้" แต่นายเนตรอ้างว่ารถผมเบรกไม่ดี รู้ข่าวว่ามีคนมาหาพระบิดา ก็เลยรีบขับรถมา จากนั้นนายเนตรก็เดินไปอุ้มเด็กพร้อมตะโกนว่า "พวกผมเป็นคนไทย ไม่มีที่อยู่อาศัย หากฝนตกผมจะอยู่ที่ไหนกัน ที่ผ่านมาพวกผมอยู่ด้วยความศรัทธา พวกผมทำแต่ความดี" จนนายบุญสูงต้องเข้ามาห้าม
หลังจากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่อุทยานภูผาม่านนำกำลังเข้ามาตรวจสอบพบว่าบริเวณไร่ของนายบุญสูง เป็นพื้นที่ป่าสงวน อนุโลมให้อยู่อาศัยได้ และได้รายงานให้ทางหวัดเลยและจังหวัดขอนแก่นประสานฝ่ายปกครองพร้อมตำรวจเข้าตรวจสอบพื้นที่ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ความดูแลของอุทยานภูผาม่าน
ต่อมาเมื่อเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายได้รับแจ้งก็ทยอยเดินทางกันมาตรวจสอบ ทั้งอุทยานแห่งชาติภูผาม่าน จ.ขอนแก่น อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูกระดึง จ.เลย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง 3 อำเภอ เดินทางมาพูดคุยและทั้งสังเกตการณ์
พ.ต.ท.ภาคสุวัฒน์ ถุงน้อย กล่าวว่า หลังจากทราบว่าพระบิดาได้หลบมาที่บ้านผาสามยอด อ.ภูกระดึง แต่เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่า อยู่ในเขตของอำเภอภูผาม่าน จ.ขอนแก่น แต่ว่าเป็นรอยต่อมีชื่อหมู่บ้านเดียวกัน ชื่อผาสามยอด จึงได้เข้าไปตรวจสอบ พร้อมกับเจ้าหน้าที่อุทยานภูผาม่าน นายก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ในพื้นที่ เมื่อเข้าไปบริเวณไร่ดังกล่าวพบพระบิดา จึงได้พูดคุยถึงการที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ และทราบว่านายทวีได้ประกันตัวมาจากศาลจังหวัดชัยภูมิ แต่ไม่ได้แจ้งต่อศาลว่าจะออกมาอยู่นอกพื้นที่เดิม จึงได้เตือนพระบิดาไปว่าถ้าหากมีประพฤติการณ์หลบหนี หรือทำพฤติกรรมความผิดเดิม ศาลสามารถถอนการประกันได้
โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่พบความผิด นายทวี หรือพระบิดา ได้รับปากไว้ว่าจะไม่ชวนลูกศิษย์เข้ามาในพื้นที่เพิ่มเติม และยังปฏิเสธเรื่องอวดอุตริกินฉี่กินของสกปรกว่าไม่เป็นความจริง จะขอมาอยู่แบบเงียบ ๆ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร หลังจากนี้จะจัดกำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาสังเกตการณ์ โดยพระบิดายืนยันว่าหากมาอยู่ที่นี่ แล้วชาวบ้านไม่พอใจจะเดินทางออกนอกพื้นที่ทันที
ด้านนางสุภาวดี ศรีสุขวัฒน์ นายอำเภอชุมแพ ที่มาร่วมตรวจสอบในวันนี้ บอกว่า จากการพูดคุยกับนายทวี หรือ พระบิดา ให้ข้อมูลมาว่าจะขออยู่ในพื้นที่จนถึงกำหนดไปขึ้นศาล ในวันที่ 27 มิ.ย. 65 และรับปากกับตนเองว่าจะไม่ดำเนินกิจกรรมใด ๆ เหมือนกับที่ทำในพื้นที่ อ.คอนสาร เรื่องลูกศิษย์ไม่รับปากว่าจะมีใครตามมาเพิ่มเติมหรือไม่ และขอให้คนในพื้นที่เข้าใจ เนื่องจากเป็นคนไทยด้วยกัน
นายมงคล คำวงษ์ หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าขก.5 (ภูผาม่าน) บอกว่า จากการตรวจสอบ พบว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่าง อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น และอ.ภูกระดึง จ.เลย เป็นบ้านของลูกศิษย์นายทวี ที่อยู่ในโครงการจัดสรรที่ทำกินป่าสงวนแห่งชาติ หรือ คทช. และเป็นที่ดินมีชื่อผู้ครอบครองอย่างถูกต้อง สามารถอยู่อาศัยและทำเป็นที่ดินทำกินได้ เบื้องต้นยังไม่พบความผิดในส่วนของการบุกรุกพื้นที่ป่า ส่วนเรื่องความผิดอื่น คงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคนตรวจสอบ
นอกจากนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว นายบุญสูงชี้แจงเรื่องการขับรถของนายเนตรว่าตอนนี้ขอให้ต่างคนต่างอยู่ไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องคดีของพระบิดา หากอยากจะชี้แจงจะติดต่อไปเอง ส่วนเรื่องที่นายเนตรโมโหและขับรถเร็วเข้ามา เป็นเพราะนายเนตรเก็บกดมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ซึ่งนายเนตรไม่ใช่คนธรรมดา เคยฆ่าคนมาแล้ว เหตุผลที่ทำแบบนั้นเกิดจากอารมณ์ล้วน ๆ คุมตัวเองไม่อยู่
สำหรับสัตว์เลี้ยงที่อยู่ที่สำนักเดิมจะมอบหมายฝากให้ทาง อบต.ดงกลาง เป็นคนจัดการขายให้ ยืนยันว่าไม่ได้จะมาตั้งลัทธิหรือสำนักอะไรกันที่นี่ หลังจากนี้ขอให้ทุกสื่อเลิกใช้คำว่าลัทธิหรือสำนัก และขอให้ใช้คำว่ากลุ่มคนที่ศรัทธาพระบิดา
ที่ผ่านมาทางพระบิดา ได้สั่งให้เก็บข้อมูลข่าวที่นำเสนอไปผิด ๆ ทั้งหมด แต่ไม่ให้ตอบโต้ และจะเอาผิดต้นเรื่องคือผู้หญิงที่ไปร้องเรียนกับสื่อ และคนหัวโล้น ๆ ขอไม่ระบุชื่อ คิดกันเอาเองว่าเป็นใคร ที่แสดงกิริยาไปด่าให้ควายกันบนโรงพัก ที่ไม่ตอบโต้ทั้งสื่อและพวกคนหัวโล้น เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระบิดา ส่วนเรื่องคดีไม่กังวล เพราะมีทนายเป็นคนจัดการให้ เรื่องกินฉี่กินขี้ไคล พระบิดาไม่ได้บังคับแต่กินกันด้วยความศรัทธา เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ตนเองขนาดเป็นมะเร็งที่ขายังหายได้ ตนยืนยันว่าที่ของตนเองเป็นเงินส่วนตัวที่ซื้อมา ไม่เกี่ยวกับเงินของพระบิดา
หลังจากนั้น ในช่วงที่เจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว ก็มีบรรดาลูกศิษย์ของพระบิดา ทยอยขับรถขนของกันเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วก็ยังมีคนในพื้นที่ ที่ขับรถผ่านไปผ่านมาเห็นเด็กแล้วเกิดความสงสาร ซื้อข้าวมาให้ โดยมีป้าลำไยเป็นคนออกมารับของด้วยตัวเอง
จนกระทั่งช่วงเย็น มีน้องสาวของกำนันในพื้นที่ขับรถผ่านมาเห็น ทนไม่ไหว ตะโกนด่าบรรดาลูกศิษย์เข้าไปว่าทำไมถึงไม่ทำมาหากินเหมือนชาวบ้านชาวเมืองคนอื่น ทำไมถึงมาอยู่กันที่นี่ ถ้าทำดีทำไมต้องหนีมาอยู่ที่นี่ คนพื้นที่ไม่ยอมให้อยู่ เดี๋ยวจะไปบอกกำนัน หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ให้อยู่ ไม่ต้องมาอยู่เขตนี้ คนพวกนี้ไม่ดี เสียชื่อคนจังหวัดเลย
นายพัทยา ศรีน้อย กำนันตำบลผานกเค้า เปิดเผยว่า วันนี้ทั้งวันหลังจากมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบบ้านของลูกศิษย์ที่พาพระบิดา เข้ามาอยู่ในพื้นที่ จากการตรวจสอบกับผู้นำชุมชน ชาวบ้านส่วนมากที่รู้ข่าวบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่อยากให้พระบิดาอยู่ในพื้นที่ รับไม่ได้กับการกระทำของพระบิดา ที่ปรากฏอยู่ตามสื่อต่าง ๆ เข้าใจว่าพระบิดาอยู่ในที่ส่วนบุคคล และยังไม่ได้ทำอะไรผิด
ในทางกฎหมายอาจจะทำอะไรไม่ได้ และเรื่องที่ชาวบ้านจะไปรวมตัวกันขับไล่ยังไม่มีข้อมูล เนื่องจากตอนนี้ชาวบ้านบางคนยังไม่รู้ แต่ถ้าหากชาวบ้านในพื้นที่รู้จากข่าวคืนนี้ทั้งหมด แล้วมีการจัดตั้งประชาคมขับไล่ผลักดันกันขึ้นมา พระบิดาก็ต้องออกนอกพื้นที่ไป เนื่องจากที่บ้านของลูกศิษย์พระบิดาเดิมทีแล้วไม่ใช่เป็นที่ดินส่วนตัว แต่เป็นที่ดินป่าสงวนที่ชาวบ้านช่วยกันรักษากันมาตั้งแต่ดั้งเดิม
ส่วนเรื่องที่พระบิดาสัญญากับตำรวจว่าจะไม่มีพฤติกรรมเช่นเดิมอีก ยอมรับว่าส่วนตัวไม่อยากจะเชื่อว่าพระบิดาจะทำได้ และเชื่อว่าคนเคยทำอะไรเอาไว้ เดี๋ยวก็คงจะต้องทำอีก เป็นไปได้ก็ออกไปจากพื้นที่ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอให้ชาวบ้านตั้งประชาคมขับไล่