สาวบุรีรัมย์อ้างถูกไอ้โม่งถีบ จยย.ชิงเงิน 4 หมื่น ตำรวจเค้นสอบก่อนสารภาพกุเรื่อง เพราะหาเงินใช้หนี้ไม่ทัน โดนแจ้ง 3 ข้อหา พร้อมนำตัวส่งศาลฝากขัง
จากกรณีที่ น.ส.อรทัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี ชาว ต.สำโรงใหม่ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ ว่าเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. วันที่ (9 พ.ค.65) ที่ผ่านมา ขณะขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ สีส้ม-ขาว หมายเลขทะเบียน ขรร-537 บุรีรัมย์ กลับจากทำธุระในตัวอำเภอนางรอง มาตามถนนสายนางรอง-ละหานทราย พอถึงช่วงระหว่างบ้านโคกสำราญ-คลองต้อ ต.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ มีรถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง ซึ่งมีชายขับขี่ซ้อนกันมา 2 คนสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า ตามประกบโดยที่ไม่รู้ตัวแล้วใช้เท้าถีบที่บริเวณเอวจนทำให้รถของตนเองเสียหลักล้มไถลตกข้างทาง ส่วนตัวเองก็สลบ พอรู้สึกตัวอีกทีพบว่ากระเป๋าสะพายสีขาวที่ใส่เงินซึ่งเพิ่งไปกู้มา 40,000 บาท เพื่อจะเอาไปใช้หนี้หายไปแล้ว
หลังรับแจ้งเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ สอบปากคำพยานแวดล้อม และไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกชิงทรัพย์ โดยคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ โดยเฉพาะกล้องบริเวณแยกโรงโม่หิน บ้านโคกสำราญ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ช่วงใกล้เวลาที่เกิดเหตุ เพื่อหาเบาะแสในการติดตามตัวคนร้าย แต่ก็พบเพียงรถจักรยานยนต์ของผู้ประสบเหตุขี่ผ่านเท่านั้น ไม่มีรถจักรยานยนต์คันอื่นขี่ตาม ทางพนักงานสอบสวนจึงได้ทำการสอบปากคำ น.ส.อรทัย ผู้ประสบเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่ง น.ส.อรทัยยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่ได้ถูกคนร้ายถีบรถจักรยานยนต์ล้มและชิงเงิน 4 หมื่นบาทแต่อย่างใด แค่สร้างเรื่องโกหกเพราะหาเงินไปใช้หนี้ไม่ทัน
ล่าสุดวันนี้ (13 พ.ค.) พนักงานสอบสวนได้เรียก น.ส.อรทัย มารับทราบข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้นถูกแจ้ง 3 ข้อหา “แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานอันอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, แจ้งความเท็จอันเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเพื่อให้พนักงานสอบสวนหรือ พนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา เชื่อว่าได้มีความผิดอาญาอย่างใดเกิดขึ้นหรือเชื่อว่าความผิดที่เกิดขึ้นร้ายแรงกว่าที่เป็นจริง” ก่อนจะนำตัวส่งฝากขังศาลจังหวัดนางรอง ส่วนจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
ขณะที่ชาวบ้านบ้านโคกสำราญ บอกว่า พอรู้ความจริงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องโอละพ่อ ก็รู้สึกรับไม่ได้เพราะเสียชื่อหมู่บ้านและทำให้คนในหมู่บ้าน และผู้ที่สัญจรไปมาหวาดกลัว เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเสียเวลาเพราะต้องลงพื้นที่ไปหาข้อมูลเบาะแส ไล่กล้องวงจรปิดเพื่อเป็นหลักฐานติดตามตัวคนร้าย แต่สุดท้ายกลับเป็นเรื่องโกหก