เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 65 เวลาประมาณ 00.30 น. หลังจากนายอาธร สุทธิชัย อายุ 29 ปี กัปตันบาร์เทนเดอร์ ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านเมืองทองธานี อดีตแชมป์ลาเต้อาร์ต ของร้านกาแฟในเครือเมืองทองธานี ขับรถกลับบ้าน ถนนติวานนท์ มุ่งหน้าห้าแยกปากเกร็ด บริเวณทางเข้าหมู่บ้านสหกรณ์ มีรถเก๋งขับพุ่งออกมาจากซอยชนเข้าที่ด้านซ้ายจนกระเด็นไถลไปตามถนน หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว
จากนั้นทางโรงพยาบาลได้มีการตัดขาซ้าย เนื่องจากท่อนขาบริเวณหน้าแข้งขาด ประกอบกับมีอาการติดเชื้อ จึงได้มีการตัดขาซ้ายทิ้ง คู่กรณีทราบว่าเป็นลูกชายของตำรวจนายหนึ่ง หลังจากเกิดเหตุก็ไม่เคยเจอและได้รับการรับผิดชอบ และไม่มีความคืบหน้าใดเกี่ยวกับการเยียวยา
วันที่ 24 มิ.ย. 65 ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังบ้านในซอยศรีพรสวรรค์ อ.เมือง จ.นนทบุรี บ้านญาติของนายอาทร หรือ เขาค้อ คนเจ็บ เจ้าตัวพร้อมกับภรรยาและลูกอีก 2 คน ผู้หญิง 10 ขวบ กับ 2 ขวบ ย้ายออกจากคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว สภาพบ้านเป็นลักษณะบ้านผสมปูน ลักษณะผุพังบางส่วน ใช้ตาข่ายมุ้งลวดมาปิดล้อมรอบด้าน
สภาพที่อยู่จะเป็นที่พักชั่วคราวของครอบครัว ทุกคนก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ย่อท้อ แม้ว่าคนในครอบครัวจะใช้ชีวิตกันค่อนข้างลำบาก นายอาธรมีสภาพเหลือเพียงแค่ขาขวา ส่วนขาซ้ายถูกตัดหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เพราะขาขาด มีอุปกรณ์ช่วยพยุงเป็นไม้ค้ำยัน 4 ขา และพยายามใช้ชีวิตให้กลับมาเป็นปกติให้มากที่สุด เพื่อลดภาระคนในครอบครัว ระหว่างที่พูดคุย เจ้าตัวโชว์ความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นเกียรติบัตรล่าสุดที่เจ้าตัวได้มีการร่วมแข่งขัน ประกวดบาร์เทนเดอร์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ในกลุ่มของตัวแทนร้าน ได้รับรางวัลชนะเลิศความสวยงามของการออกแบบอาร์ตบนหน้ากาแฟลาเต้
นายอาธร เปิดใจว่า ส่วนตัววันนี้ยอมรับว่าเรื่องของทางคดีค่อนข้างที่จะมีความเงียบ เพราะไม่สามารถที่จะออกจากบ้านแล้วไปติดตามความคืบหน้าได้ด้วยตนเอง จึงฝากให้แต่ภรรยาไปสอบถาม และติดตามความคืบหน้าอยู่ฝ่ายเดียว ก็รู้สึกสงสารภรรยาที่ทุกครั้งออกจากบ้านก็ต้องมีการโบกแท็กซี่หรือใช้วินมอเตอร์ไซค์ รถที่ผ่อนมาด้วยกันก็ต้องอยู่ในสภาพที่ยังไม่สามารถซ่อมได้ มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมอย่างน้อย 100,000 บาท เบื้องต้นยังไม่สามารถที่จะติดตามเรื่องของประกันรถของคู่กรณีได้ ที่สำคัญก็ยังไม่มีเงินที่จะไปซ่อมรถ จึงทำให้ไม่มีรถใช้
ส่วนที่ตนเองตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ก็รู้สึกสงสารภรรยาและลูกที่จะต้องมารับภาระและตกที่นั่งลำบาก จากเดิมที่ตนเองเป็นเสาหลักให้กับครอบครัว มีเงินเฉลี่ยเดือนนึงก็ไม่ต่ำกว่า 25,000 บาท แต่วันนี้กลับไม่ใช่แล้ว เนื่องจากต้องอยู่แต่บ้าน ยังไม่รู้ว่าจะได้ขาเทียมหรือกลับไปเดินได้ปกติ หรือแม้แต่จะไปประกอบอาชีพตามความฝันได้อีกหรือไม่ พยายามดิ้นรนและหาแนวทาง เพราะค่าใช้จ่ายของทุกวันนี้ก็เพิ่มขึ้นทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกคนเล็ก ส่วนลูกคนโตวัย 10 ขวบก็จะต้องมีเรื่องของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเรียน ตนเองก็อยากจะหายและกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนปกติมากที่สุด
นางสาวมิ้น ภรรยาของนายอาธร คนเจ็บ บอกว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับสูตรการหมักไก่และหมู เพื่อที่จะไปเปิดหน้าร้านบริเวณริมทางเพื่อขายของ ต้องการที่จะหาเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่าเล่าเรียนของลูก หนักสุดคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการพาสามีไปโรงพยาบาล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ครอบครัวค่อนข้างที่จะใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น ก่อนหน้านี้สามีเป็นเสาหลักให้ครอบครัว แต่เมื่อตกอยู่ในสภาพแบบนี้การเคลื่อนไหวหรือการใช้ชีวิตประจำวันยังไม่ปกติ ส่วนตัวอยากจะออกไปทำงานแทน แต่ก็ไม่สามารถทิ้งไปไกลได้ เนื่องจากต้องมีลูกวัย 2 ขวบต้องดูแล
ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้นตนเองไม่เคยได้รับความคืบหน้าหรือการรับแจ้งใด ๆ ไม่ว่าจะจากทางตำรวจหรือคู่กรณี แต่สำหรับทางตำรวจเมื่อมีการโทรไปถามก็มีการตอบบ้างบางกรณีหรือบางคำตอบ ส่วนทางด้านของคู่กรณีนั้นไม่เคยที่จะติดต่อเยียวยาหรือแม้แต่จะมอบกระเช้า พูดแต่อย่างเดียวว่าเมื่อไรจะเอาเลขบัญชีให้ แต่เท่าที่ตนเองทราบถ้าหากมีการรับเงินที่ไม่ได้ผ่านการบันทึกต่อหน้าเจ้าพนักงาน จะเป็นการยอมความตามกฎหมาย
หลังจากที่คดีไม่มีความคืบหน้า เริ่มมีสื่อเข้ามาติดตามทำข่าวที่บ้าน ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากโรงพักปากเกร็ด ติดต่อกลับมาโดยอ้างว่าพรุ่งนี้จะมีการนัดหมายให้ไปเจอกับคู่กรณีที่โรงพัก ตนเองก็แปลกใจว่าก่อนหน้านี้ทำไมทุกอย่างดูเงียบ แต่เมื่อมีสื่อเข้ามาที่บ้าน กลับพบว่าตำรวจเริ่มที่จะติดต่อคู่กรณี และอ้างว่าจะให้ไปพบกันได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเบื้องต้นตนเองก็ต้องขอบคุณสื่อที่ให้ความเป็นธรรม และช่วยเหลือครอบครัวตนเอง
ทีมข่าวได้ติดต่อไปยังผู้กำกับ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทราบข้อมูลเบื้องต้นว่า ตอนนี้ได้มีการทำสำนวนคดีและติดตามตัวของคนก่อเหตุได้แล้ว ซึ่งไม่ได้เงียบอย่างที่ผู้เสียหายเข้าใจ แต่อยู่ในขั้นตอนของการสืบสวนสอบสวน ยืนยันกับทีมข่าวว่าแม้จะทราบข้อมูลว่าฝั่งของคู่กรณีจะเป็นลูกของข้าราชการหรือไม่ก็ตาม คงดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย