ญาติตามหา ผู้เฒ่าวัย 81 ปี ป่วยความดัน หายตัวจากบ้านตั้งแต่ช่วงบ่าย เจออีกทีเป็นศพกลางทุ่ง คาดเสียชีวิตเพราะสำลักควันเผาตอซังข้าว
เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2565 เวลา 21.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่มูลนิธิพทักษ์กาญจน์ ได้รับแจ้งจากชาวบ้านขอให้ช่วยออกค้นหา นายเทวัณ อยู่สนาน อายุ 81 ปี ป่วยเป็นโรคประจำตัวคือความดัน หายออกจากบ้านไปตั้งแต่บ่ายสามโมงของวันนี้กับรถสามล้อพ่วงข้าง ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธพทักษ์กาญจน์ จึงระดมกำลังพร้อมแสงสว่างออกค้นหา จนไปพบรถสามล้อพ่วงข้างจอดอยู่ริมคันนา เลยออกไปในทุ่งนาพบร่างของ นายเทวัณ นอนดำเป็นตอตะโก ข้างตัวพบเหลียมคู่ชีพติดตัวพยุงไว้ตลอดตกอยู่ใกล้ผู้เสียชีวิต
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้แจ้งให้กับทาง ร้อยตำรวจเอกนวพล กาญจนสาธต ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี พร้อมแพทย์เวรจากโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา นำกำลังรุดไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ ในจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากถนนสายหมู่บ้านเข้าไปในนาเกือบ 1 กิโลเมตร ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ในที่เกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตนอนหงายสภาพศพเกิดจากถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก ห่างจากศพไปพบรถสามล้อพ่วงจอดอยู่ ภายในรถพบอุปกรณ์ทำการเกษตร เช่น เครื่องตัดหญ้า ถังฉีดพ่นยา ฯลฯ. เงินและโทรศัพท์ ยังอยู่ในกระเป๋า จอดอยู่ริมคันนา
จากการสอบถามญาติของผู้เสียชีวิตทราบว่า ทั้งหมดเป็นของผู้เสียชีวิต โดยญาติอยู่ในที่เกิดเหตุได้เล่าให้กับทางเจ้าหน้าที่เบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตได้ออกจากบ้านมาตั่งแต่ช่วงบ่ายสามโมง พร้อมรถสามล้อพ่วงข้าง จนค่ำยังไม่กลับบ้านจึงได้ออกตามหา ซึ่งเป็นช่วงเวลามืดมากจึงได้ร้องขอไปทางมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ ช่วยนำกำลังพร้อมแสงสว่างออกไปช่วยค้นหาจนมาพบกลายเป็นศพนอนอยู่กลางทุ่งนา เสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่าผู้เสียชีวิตน่าจะถูกควันไฟที่เผาตอซากข้าวจนสำลักก่อนไฟไหม้ก็เป็นได้ เนื่องจากผู้เสียชีวิตเตรียมพื้นที่นาดังกล่าวเกือบ 10 ไร่ เพื่อเตรียมทำนาปรัง ซึ่งปกติจะออกมาประจำทุกปีก็จะต้องเผาซากตอข้าวเพื่อเตรียมทำนาในครั้งต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา และผู้เสียชีวิตเพ่งจัดงานครบ 100 วัน ให้กับลูกสาวไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ จนตัวเองต้องมาเสียชีวิตไปอีกคน หลังจากเจ้าหน้าที่ทำการตรวจชันสูจน์พลิกศพเบื้องต้นได้นำศพไปพิสูจน์ยังโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนาอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมรอให้ญาติไปติดต่อ และหากทางญาติไม่ติดใจ ก็จะมอบศพให้นำกลับไปบำเพ็ญกุศลต่อไป
สำหรับเรื่องการเผาซากตอข้าว และอ้อย เช่นนี้ ได้ทำให้เกิดไฟที่จุดเผาอาจเกิดลมกระโชก และเกิดควันหนาทึบจนหนีออกไม่ทันจนเกดสำลักควัน หากมีเพื่อนอยู่ด้วยอาจจะช่วยไว้ได้ แต่ไปเพียงลำพังก็จะเกิดเสียชีวิตจากการเผาซากเศษวัชพืชหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกใหม่ ทำให้มีเสียชีวิตอยู่เป็นประจำ จึงต้องฝากเตือนไว้เป็นอุทาหรณ์ และการจุดไฟเผาวัชพืชนั้นปกติก็มีความผิดเช่นกัน เนื่องจากจะทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ หรือ PM 2.5 ขึ้นได้