สะพรึงผัวนอนกอดศพเมียทั้งคืน อ้างพี้กัญชาตัวแรง จำไม่ได้ฆ่าเมียตอนไหน (คลิป)

เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. วันที่ 30 ก.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านนาสาร รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตที่บ้าน ถ.สวนมังคุด ต.นาสาร อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วยแพทย์ประจำโรงพยาบาลบ้านนาสาร เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 เจ้าหน้าที่กู้ภัยบ้านนาสาร

จากการตรวจที่เกิดเหตุพบศพ น.ส.ขวัญตา ชะลา อายุ 44 ปี ชันสูตรพลิกศพถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณหน้าอกด้านซ้าย 1 แผล กระสุนฝังใน นอนเสียชีวิตใกล้ประตูหลังบ้าน มีนายชวลิต แก้วนุช อายุ 37 ปี สามีผู้เสียชีวิตอยู่ในอาการเมาอย่างหนัก นอนอยู่ใกล้กับร่างภรรยา ใกล้กันพบอาวุธปืนพกขนาด .22 ลูกโม่ (รีวอลเวอร์) พร้อมกระสุนขนาด .22 จำนวน 5 นัด และปลอกกระสุนขนาด .22 จำนวน 1 ปลอก

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 65 น.ส.ขวัญตา และนายชวลิต เป็นสามีภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรชาย 1 คน ได้ไปงานแต่งญาติที่โรงเรียนนาสาร กระทั่งเวลา 23.50น. ได้กลับมาที่บ้านที่เกิดเหตุ มีปากเสียงกัน นายชวลิตจึงได้นำเอาอาวุธปืนซึ่งอยู่ในย่ามแขวนไว้ที่หลังบ้าน ออกมายิง น.ส.ขวัญตา บริเวณหน้าอกซ้าย 1 นัดเสียชีวิต

เมื่อเวลา 14.00 น. พ.ต.ท.สุรัตน์ ม่วงศรี รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.บ้านนาสาร ได้สอบปากคำนายชวลิต แก้วนุช อายุ 37 ปี ผู้ต้องหา เบื้องต้นสารภาพว่า ก่อนเกิดเหตุได้ไปร่วมงานเลี้ยงแต่งงานญาติกับภรรยา จากนั้นกลับมานั่งกินสุราต่อที่บ้านน้า ปกติแล้วตนไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน ทำให้เกิดอาการเมาอย่างหนัก

กระทั่งช่วงเกิดเหตุตนจะสูบกัญชา แต่ภรรยาเข้ามาห้ามปราม ไม่ให้สูบ หลังจากนั้นตนก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ไม่รู้ตัวว่ากลับมาบ้านได้อย่างไร ยิงเมียตอนไหน ที่ผ่านมาตนไม่เคยทำร้ายร่างกายภรรยา นอกจากแค่ทะเลาะกันทั่วไปด้วยคำพูดเสียงดังเท่านั้น สุดท้าย อยากขอโทษครอบครัวภรรยาว่า ตนเองขาดสติจริง ๆ ที่ทำลงไปและยอมรับผิดทุกอย่าง

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มีอาวุธปืนครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านที่เกิดเหตุ พบครอบครัวของทั้ง 2 ฝ่ายกำลังนั่งคุยกันเกี่ยวกับการจัดพิธีศพ โดยบริเวณจุดเกิดเหตุ ญาติได้ล้างคราบเลือดออกหมดแล้ว

นายอรุณ เชื้อรบ อายุ 65 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ บอกว่าตนเองไม่มั่นใจเรื่องเวลาเกิดเหตุ ตอนนั้นตนเองกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ภายในบ้านและได้ยินเสียงดังสนั่นเป็นเสียงปืนหนึ่งนัด ตนเองก็ตกใจเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอะใจ หรือใส่ใจอะไร เนื่องจากว่าในพื้นที่แถวนี้มักจะมีผู้คนชอบใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าเป็นประจำ ก็เลยไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวล

ส่วนตัวยอมรับว่ากลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ประมาณไม่เกิน 5 ปี เพราะเมื่อประมาณกว่า 10 ปีที่ผ่านมาตนเองบวชเป็นพระมาก่อน เมื่อกลับมานั้นทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเกิดเหตุการณ์ยิงกันเกิดขึ้น ก็ยังเอะใจสงสัยว่าทั้ง 2 คนนั้นคือใคร เนื่องจากไม่ได้รู้จักหรือไม่ได้สนิทสนมกับบ้านหลังดังกล่าว ชาวบ้านแถวนี้มักจะต่างคนต่างอยู่ เพราะเป็นบ้านสวน