จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์แฉ คลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งย่านรัชดา-ห้วยขวาง ปัดความรับผิดชอบหลังน้องสาวของเธอเข้าทำศัลยกรรมเหลาโหนกแก้มและคาง แล้วไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
วันที่ 19 พ.ค.62 นางสาวโม พี่สาวของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มี.ค. คาบเกี่ยววันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา น้องสาวของแฟนตนเดินทางเข้าไปทำศัลยกรรมโหนกแก้มและเหลาคาง ที่คลินิกแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง โดยแพทย์วางยาสลบ และผ่าตัดจนแล้วเสร็จ จากนั้นผู้เป็นพี่ชายจึงเข้าไปรับที่คลินิกตามเวลาที่นัดหมาย ปรากฏว่าเมื่อไปถึงน้องสาวนอนอยู่ในห้องพักฟื้น เมื่อพยายามปลุกแต่ไม่รู้สึกตัว สักพักขณะนั้นน้องเริ่มฉี่ราด อุจจาระราด เจ้าหน้าที่คลินิกจึงเข้ามาเปลี่ยนผ้าอ้อม แล้วบอกว่ายังปกติดี อาจเป็นเพราะน้องกำลังฝันอยู่ในขณะที่ยังไม่รู้สึกตัว จากนั้นสักพักน้องเริ่มมีอาการร้อง กัดปากตัวเอง มือแขนขาเริ่มชักเกร็ง แพทย์ที่เข้ามาดูได้ฉีดยาให้น้องสาว และแพทย์สอบถามว่าน้องมีอาการป่วยชักเกร็งหรือไม่ พี่ชายบอกว่าไม่มี จากนั้นแพทย์พยายามเข้าไปปลุกเพื่อให้รู้สึกตัว ปรากฏว่าน้องมีอาการชักเกร็งไม่ตอบสนอง จากนั้นคลินิกจึงแจ้งว่าจะมีการส่งตัวไปที่โรงพยาบาล เนื่องจากมีเครื่องมือที่พร้อมกว่า ซึ่งตลอดเส้นทางที่เคลื่อนย้ายไป น้องสาวไม่รู้สึกตัว และมีการชักเกร็งเป็นระยะ
โดยทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล แพทย์ห้องฉุกเฉินแจ้งว่าความดันลดต่ำ อาการโคม่า และหากมาช้ากว่านี้อาจเสียชีวิตได้ ตนจึงแปลกใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้แพทย์และพยาบาลที่คลินิกกลับบอกว่าไม่เป็นไร ต่อมาจึงทราบว่า น้องสาวเกิดภาวะสมองขาดออกซิเจน เป็นผลมาจากการวางยาสลบขณะที่มีการผ่าตัดศัลยกรรม ซึ่งในช่วงแรกที่มีการรักษาพยาบาลนั้น คลินิกแสดงความรับผิดชอบอย่างดี บอกว่าจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดและอยากให้ได้รับยารักษาที่ดีที่สุด โดยช่วง 3 วันแรกค่ารักษาพยาบาล 200,000 บาท คลินิกจ่ายทั้งหมด จากนั้นมีกำหนดจ่ายค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยวันละ 30,000 บาท และกำหนดให้ชำระทุก ๆ 3 วัน ช่วงแรกคลินิกและแพทย์ผู้ผ่าตัดช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาล หลังจาก 2 สัปดาห์แรกไปคลินิกไม่โผล่มาอีกเลย จนถึงวันนี้กว่า 1 เดือน ยังไม่ได้รับการติดต่อไกล่เกลี่ยแต่อย่างใด ทำให้ค้างค่ารักษาพยาบาลกว่า 1 ล้านบาท ครอบครัวจึงเครียดและกังวล ขณะนี้น้องยังอยู่ในห้อง ICU ไม่สามารถพูดคุยหรือตอบสนองอะไรได้
ด้านนางสาวชนาพร ผ่องมณี อายุ 33 ปี เจ้าหน้าที่ประจำคลินิก เปิดเผยว่า ผู้เสียหายรายนี้เดินทางเข้ามาติดต่อศัลยกรรมผ่านเอเจนซี่รายหนึ่ง ก่อนผ่าตัดนั้นมีการซักประวัติอย่างครบถ้วน และให้งดน้ำงดอาหาร จนกระทั่งเข้าผ่าตัดตามปกติ หลังผ่าตัดแล้วเสร็จมีการเคลื่อนย้ายมาห้องพักฟื้น ระหว่างนั้นจึงเริ่มมีการอาการชักเกร็ง จึงให้ยาแก้ชักเกร็งแล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ซึ่งสาเหตุที่เกิดขึ้นคลินิกไม่ขอระบุว่าเกิดจากอะไร เนื่องจากต้องการให้ความสนใจที่อาการของผู้เสียหาย ที่ต้องการอยากให้มีอาการดีขึ้น และกลับมาเหมือนเดิม นอกจากนี้คลินิกยังบอกว่าสาเหตุของอาการนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย ในขณะเดียวกันทราบจากพยานระบุว่าก่อนเข้าผ่าตัด เอเจนซี่ที่พามาทำศัลยกรรมแอบพาผู้เสียหายไปกินอาหาร เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม บะหมี่ พิซซ่า เป็นต้น อีกทั้งมีการดื่มยาจีนด้วย แต่ไม่ได้แจ้งคลินิกว่ากินอาหารก่อนการผ่าตัด
ในขณะเดียวกัน เรื่องการรักษาพยาบาล ภายหลังเกิดเหตุ แพทย์ผู้ผ่าตัดได้เซ็นเอกสารสัญญาว่าด้วยการจะชำระค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดอย่างแน่นอน ซึ่งครั้งแรกชำระไปกว่า 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลือยังคงค้าง ขณะนี้อยู่ระหว่างที่โรงพยาบาลดำเนินการทำเอกสารลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลให้ จึงต้องรอชำระ ไม่ได้บ่ายเบี่ยง หรือปฏิเสธความรับผิดชอบ