กรณีเพจเฟซบุ๊ก “สายไหม ต้องรอด” โพตส์ข้อความระบุว่า “ห่ะ!! บ่อนใหญ่ย่านเลียบด่วนรามอินทรา ปล้นเซียนพนัน จับมัด ถุงดำคลุมหัว อุ้มซ้อม รีดเงิน 5 ล้าน!” จากนั้นมีการโพตส์ต่อเนื่องอีกข้อความว่า “ฉันเปล่านา เขามาเองฉันเปล่าชวนนา เขามาเอง แต แต๊ แต่ แต แต แต้แต่ #ผู้เสียหาย5คน #บ่อน” จนกระทั้งเมื่อวานนี้มีผู้เสียหายปรากฏตัว 5 ราย ในบรรดา 7 ราย อ้างว่าถูกทำร้ายโดยการใช้ถุงดำคลุมหัว
จนนำมาสู่การเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ผู้เสียหายเปิดหลักฐานภาพถ่ายที่ระบุว่าเป็นบ่อน เปรียบเทียบกับภาพภายในโต๊ะสนุกฯ ในปัจจุบัน พร้อมกับผู้เสียหายได้มีการเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก สน.โคกคราม ตามที่มีการเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันที่ 29 ต.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้เดินทางไปพูดคุยกับ พ.ต.ท. สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล เผยว่า จากกรณีเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายออกมาแจ้งสื่อและเพจดัง พร้อมกับมีการเดินทางไปแจ้งความที่โรงพัก สน.โคกคราม ระบุว่าถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ของบ่อนแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา มีการอุ้มรีดไถเงินหลังจากที่มีการเสี่ยงดวงในการเล่นเสือ-มังกร โดยได้เงินได้กำไรจำนวนมากทำให้เจ้ามือไม่พอใจจึงมีการรีดไถเพื่อเรียกเงินคืน จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนตัวในฐานะที่เป็นอดีตตำรวจและได้รับข้อมูลจากกลุ่มเพื่อนในวงการที่รู้จักกัน อยากจะเตือนสื่อและเพจดังไม่อยากให้เป็นเครื่องมือของกลุ่มมิจฉาชีพ
ซึ่งลักษณะของการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าว เป็นการกระทำที่หลอกลวงต้มตุ๋นกลุ่มนักเล่นการพนันด้วยกัน รวมทั้งมีกลวิธีการโกงเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน โดยมีการจ่ายเงินจำนวนมากและตีสนิทกับพนักงานรายงานต่างด้าวที่ถูกว่าจ้างเข้ามาแจกไพ่ จนเป็นเหตุของการได้กำไรและโกงเงินจากบ่อนการพนัน 5 วันติดต่อ สูบเงินจากบ่อนไปได้ประมาณ 10 ล้านบาท และหลังจากนั้นก็ได้มีการตกลงเคลียร์ปัญหากันกับเจ้าของบ่อนแต่ปรากฏว่าได้เงินไม่ครบ จึงได้มีการสร้างเรื่องเป็นสอตรี่เดียวกันเพื่อที่จะสร้างความน่าสงสาร เรียกให้เป็นกระแสสังคมยืมสื่อมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีบ่อน ซึ่งส่วนตัวก็มีความกังวลใจว่าการถูกยืมจมูกมาเป็นเครื่องมือแบบนี้กลัวว่าสื่อจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำผิด และรู้เห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของมิจฉาชีพ จึงอยากจะเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการนำเสนอและหลงเชื่อข้อมูล
โดยจากข้อมูลที่ตนเองทราบจากพรรคพวกในวงการที่รู้จักกัน รวมทั้งข้อมูลจากชุดตำรวจที่เข้าไปดำเนินการทำงานในครั้งนี้ ให้ข้อมูลตรงกัน คือช่วงก่อนวันที่ 19 ส.ค. ก่อนวันเกิดเหตุ ได้มีกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพที่อ้างตัวเองว่าเป็นนักพนันเดินสายเล่นหลายบ่อน มีการตั้งกลุ่มแก๊งขึ้นมาชื่อว่า “เก้ากระเทย” ซึ่งในกลุ่มมีไม่ต่ำกว่า 20 คน ใช้วิธีการหมุนสลับสับเปลี่ยนและเปลี่ยนหน้ากันเข้าไปใช้วิธีกลโกง เพื่อสูบเงินจากบ่อน โดยอาศัยความสนิทและจ่ายใต้โต๊ะให้พนักงานบ่อน และไปซึ่งมีการแอบติดต่อกับพนักงานแรงงานต่างด้าวของบ่อนที่เกิดเหตุ ในการว่าจ้างและจ่ายเงินให้กับพนักงานเหล่านั้น เพื่อที่จะให้มีการทำไพ่ โดยลักษณะการส่งซิกหรือสัญญาณบอก เพื่อที่จะให้ไพ่ที่มีการเกลี่ยออกมานั้น สามารถแทงได้อย่างแม่นยำ
โดยเจ้าของบ่อนก็ได้มีการติดตามพฤติกรรมของกลุ่มแก๊งดังกล่าวมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยพบว่ากล้องวงจรปิดของโต๊ะรวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความเรียบร้อยภายในบ่อนสามารถจับพิรุธและพฤติกรรมของกลุ่มแก๊งได้ โดยมีการรับการส่งซิกจากพนักงานต่างด้าวที่มีการทำไพ่ ส่วนคนอื่นทำหน้าที่ในการแทงทั้งแทงให้ผิดและแทงให้ถูก โดยแต้มที่ผิดจะลงเงินครั้งละหลักพัน-หลังหมื่น ให้เป็นการแสดงว่าเสีย แต่คนที่รับการส่งซิกจะมีการแทงเงินมูลค่าหลักแสนหรือเททั้งหมดหน้าตัก จากนั้นก็ทำแบบนี้ซ้ำไปมาจนสามารถจับพิรุธได้จึงได้มีการเชิญตัวออกไปพูดคุย เพื่อที่จะสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้มีการข่มขู่หรือทำร้ายร่างกาย
ซึ่งภายหลังกลุ่มแก๊งเก้ากระเทยถูกจับพิรุธได้ และถูกเชิญออกไปพูดคุยร่วมกันทั้งหมด 7 คน จึงได้มีการเจรจากันเกิดขึ้น ในช่วงคืนวันที่ 19 ส.ค. เข้าคืน วันที่ 20 ส.ค. โดยมูลค่าที่กลุ่มแก๊งได้มีการโกงและรู้เห็นกับพนักงานของบ่อน มีการทำเงินไปได้ 10 ล้านบาท จึงได้ตกลงเคลียร์กัน เพื่อที่จะให้กลุ่มแก๊งคืนเงินให้กับบ่อน แต่ปรากฏว่ากลุ่มแก๊งดังกล่าวพกเงินสดเพียงไม่ถึงล้านบาท แต่มีสร้อยคอทองคำติดตัวจำนวนหนึ่ง จากนั้นเมื่อมีการรวมเงินสดกับทองคำ จึงมียอดรวมทั้งสิ้น 1 ล้านบาท ในการคืนให้กับเจ้าของบ่อน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงได้มีการตกลงพูดคุยกันเพื่อที่จะให้คืนเงินส่วนที่เหลือ โดยตัวของนายเดียร์ ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง ได้มีการโอนเงินในบัญชีออกไปให้กับบ่อนอีก 2 ล้านบาท ซึ่งก็เป็นไปตามสลิปการโอนเงิน โดยเจ้าตัวโอนเองไม่ได้มีใครบังคับ หรือใช้วิธีการนำถุงดำคลุมหัวตามที่กล่าวอ้าง และในวันนั้นพบว่าบ่อนได้เงินคืนไป 3 ล้านบาท
จากนั้นกลุ่มแก๊งก็เริ่มที่จะออกอุบายและพยายามสร้างสตอรี่เรื่องราว ทำนองว่ามีการทำร้ายร่างกายบีบเงินรีดไถ กับกลุ่มที่ดวงดีหากเสี่ยงโชคได้จะต้องถูกบังคับคืนเงินให้กับบ่อน จากคำพูดดังกล่าวจึงทำให้ในฐานะเจ้าของบ่อนทั้งตัวจริงและน.ส.ซาร่า จึงกลัวว่าบ่อนที่เปิดมาได้ 1 เดือนจะเสียหาย เสียลูกค้า และกลัวว่าจะประกอบธุรกิจต่อไม่ได้ เนื่องจากมีการบอกต่อแล้วทำให้ลูกค้าไม่เข้า จึงตัดสินใจที่จะเรียกให้กลุ่มแก๊งดังกล่าวเข้ามาเคลียร์
โดยหลังจากนั้นทราบว่ากลุ่มแก๊งได้เข้าไปพูดคุยกับบ่อน แล้วทางบ่อนจึงเสนอทางออกเพื่อที่จะให้ยุติลง ไม่อยากให้เป็นเรื่องลักษณะถูกดิสเครดิต กลุ่มผู้เล่นไม่กล้ามาบ่อนที่เกิดเหตุ เจ้าของบ่อนตัวจริงจึงเคลียร์เอง โดยยืนยันว่าจะมีการจ่ายเงินคืนให้กับกลุ่มแกงกระเทยในฐานผู้เสียหายจ่ายเงินให้ 2,300,000 บาท แต่ด้วยช่วงนั้นเงินสดหมุนเวียนไม่ทัน จึงได้มีการตกลงให้ นายหนุ่ม หรือ นายชวโรจน์ ในฐานะคนที่เข้ามาเช่าเพื่อที่จะเปิดเป็นโต๊ะสนุกเกอร์รายใหม่แทน น.ส.ซาร่า ที่ถอนตัวไม่เช่าเปิดบ่อน เพราะมีปัญหา ให้นายหนุ่มนำเงินจำนวน 500,000 บาท ไปจ่ายให้กับกลุ่มแก๊ง พร้อมกับระบุเงื่อนไขว่าจะมีการผ่อนจ่ายรายเดือนจนครบตามจำนวน 2,300,000 บาท
แต่ปรากฏว่ากลุ่มแก๊งเกิดความไม่พอใจ ไม่ได้เงินครบทันที จึงเริ่มออกอุบายสร้างเรื่องราวให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน พร้อมกับไปลงบันทึกประจำวันว่าทำให้เสียทรัพย์ วันที่ 6 ก.ย. โดยส่วนตัวจึงตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หากถูกทำร้ายหรือถูกอ้างว่าถูกคุมถุงดำและข่มขู่ตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. วันรุ่งขึ้นหรือวันถัดไปทำไมถึงไม่ไปแจ้งความ ทำไมถึงต้องพากันไปแจ้งความช่วงวันที่ 6 ก.ย. ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นเพราะไม่ได้เงินตามจำนวนจึงได้มีการสร้างสตอรี่ขึ้นมา และยืมสื่อเป็นเครื่องมือ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.สันธนะ เผยอีกว่า การที่ตนเองออกมาให้ข้อมูลก็เป็นเพราะว่าอยากจะให้สังคมเข้าใจข้อเท็จจริง และไม่อยากให้สื่อตกเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพ แต่ไม่ได้มีเจตนาหรือต้องการจะปกป้องหรือเข้าข้างฝั่งของบ่อน เพราะทั้งหมดตนเองรู้อะไรมาก็พูดตามข้อเท็จจริง แต่เพียงแค่อยากจะให้สังคมรับรู้ว่ายังมีกระบวนการกลุ่มแก๊งเหล่านี้ ที่ยังคอยสร้างความเสียหายและหลอกลวงกลุ่มนักเล่นด้วยกัน รวมทั้งทำให้บ่อน ที่ยอมรับว่าตอนนี้ก็ยังมีอยู่จริงในหลายแห่ง ได้รับผลกระทบและเสียหายไปด้วย และหากเป็นไปได้ส่วนตัวก็อยากตรวจสอบประวัติของกลุ่มคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นผู้เสียหายอยู่ในขณะนี้ ว่ามีประวัติในคดีฉ้อโกงหรือไม่หรือมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีอื่นหรือไม่ เพราะเชื่อว่าการก่อเหตุก็ต้องมีคดีติดตัวหรือมีประวัติอยู่แล้ว
ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ซึ่งเผยถึงกรณีที่หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายคือนายอ้วน ออกมาแฉว่ากรุงเทพมหานครมีบ่อนการพนันกว่า 100 แห่ง และภายในพื้นที่ย่านรามอินทรายังมีบ่อนการพนันที่อยู่ใกล้กันกับที่เกิดเหตุ พร้อมกับท้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการตรวจสอบภายหลังมีการยืนยันว่าในพื้นที่ไม่มีบ่อนการพนัน ว่าจากสิ่งที่ตนเองมีการลงพื้นที่กับสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับโต๊ะสนุกเกอร์ที่มีการพาไปดู เป็นสถานที่ที่มีการเปลี่ยนสภาพ และมีการนำโต๊ะสนุกเกอร์ใหม่พึ่งมาลง โดยสังเกตจากเส้นตีบนโต๊ะนังไม่มีร่องรอยของการเล่นหรือใช้งานก็ยังไม่ปรากฏ ลักษณะครึ่งที่จะเปลี่ยนหรือนำมาแทนที่อะไรบางอย่าง ประกอบกับภาพถ่ายของผู้เสียหายที่มีการบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ภายในโต๊ะสนุกเกอร์ที่เกิดเหตุ มันคือบ่อน 100% ซึ่งจะอ้างว่าไม่ใช่ก็น่าจะพูดได้ยาก และจากการแถลงข่าวของทีมคณะตำรวจเมื่อวานนี้ยืนยันว่าเป็นเพียงแค่โต๊ะสนุกเกอร์ ตนเองก็ยังคงยืนยันว่ามันคือ ”บ่อน”
ส่วนการที่กลุ่มผู้เสียหายตัดสินใจที่จะแฉว่า ในกรุงเทพมหานครหรือละแวกใกล้เคียงย่านรามอินทรามีบ่อนการพนันหลายแห่ง เป็นเพราะว่าต้องการที่จะให้มีการดำเนินการแก้ไข เพราะเนื่องจากทราบว่าในยุคปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้เปิดให้มีการเล่นการพนันอย่างเสรี แต่มีคนที่เกี่ยวข้องรับเคลียร์จบ มีการรับเงินต่อเดือนเฉลี่ยบ่อนละ 1 ล้านบาท หากในพื้นที่ย่านรามอินทรามี 8 บ่อน ตามที่ผู้เสียหายพูด แสดงว่าต่อเดือนรับไม่ต่ำกว่า 8 ล้าน ใน 1 ปี รับไม่ต้ำกว่า 20 ล้าน แล้วถ้านำไปคูณด้วยจำนวนตัวเลขของบ่อนในกรงุเทพกว่า 100 แห่ง เงินพวกนั้นใครรับ หรืออยู่กับใคร และในวันจันทร์นี้ เวลา 09.00 น. เตรียมที่จะพาผู้เสียหายทั้งหมดไปเจอกับพลตำรวจเอกสุรเชษฐ หักผ่าน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเตรียมที่จะสอบปากคำและดำเนินการด้วยตนเองทั้งหมด ทั้งเรื่องของการใช้ความรุนแรงด้วยการใช้ถุงดำคลุมหัว กักขังหน่วงเหนี่ยว ไปจนถึงกระทั่งจำนวนบ่อนการพนันที่ผู้เสียหายมีข้อมูลอยู่ในตอนนี้ จะมีการดำเนินการสางให้จบ
ทั้งนี้แม้ว่า พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล จะออกมาแฉพฤติกรรมของกลุ่มผู้เสียหายว่ามีการทำเป็นกระบวนการ และมีการร่วมกันโกงเจ้าของบ่อน จนเป็นเหตุต้องมีการเคลียร์อย่าลืมการอุ้มเพื่อที่จะมีการเรียกเงินคืนนั้น ส่วนตัวยืนยันว่าก่อนที่จะนำผู้เสียหายมาแฉพฤติกรรมของบ่อนการพนันครั้งนี้ ก็ได้มีการสอบสวนและสอบถามข้อเท็จจริง ซึ่งทั้งหมดยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกัน ในคำว่าไม่รู้จักกันคือความสนิท แต่กรณีพูดเล่นที่ไปเจอกันในบ่อนการพนัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติในการที่จะไปเล่นและไปแทงในบ่อน โดยที่สำคัญตัวของกลุ่มผู้เสียหายก็ไม่ได้มีการร่วมกันโกง แต่ทั้งนี้ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็เป็นความขัดแย้งระหว่างบ่อนการพนันกับผู้เล่น ซึ่งการที่ตนเองยังคงคาใจและต้องการให้เกิดการดำเนินการจัดการและคลายข้อสงสัย คือบ่อนเปิดได้อย่างไร แล้วทำไมต้องมีการกระทำที่เกินกว่าเหตุโดยการใช้ถุงดำคลุมหัว
นายเอกภพ ยังเผยอีกว่า หลังจากที่กลุ่มผู้เสียหายที่มีการออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบ่อนการพนันกลางกรุง ยังได้รับการประสานจากผู้เล่นรายอื่น ซึ่งต้องการที่จะออกมาแฉพฤติกรรมของบ่อนการพนัน ที่มีการเปิดให้มีการเล่นในกรุงเทพ และยังต้องการที่จะออกมาแฉพฤติกรรมของบ่อนบางแห่ง โดยเฉพาะเรื่องของการอุ้มรีดไถ หลังจากที่เห็นผู้เล่นได้เงินหรือได้กำไรมาก ก็จะมีการรีบเอาเงินคืนหรือเรียกเงินโดยวิธีต่างๆ ซึ่งก็ยืนยันว่านอกจากกลุ่มผู้เสียหายที่ออกตัวตอนนี้แล้ว ก็ยังจะมีรายอื่นที่เตรียมที่จะเคลื่อนไหวต่อ
อย่างไรก็ตาม นายเอกภพ ยังเผยถึงคำสั่งโยกย้ายว่า ก็ถือว่าเป็นบทลงโทษในฐานะเจ้าของพื้นที่ ที่มีการปล่อยประละเลยให้มีการเล่นการพนัน รวมทั้งปล่อยให้มีการทำร้ายร่างกายโดยการใช้ถุงดำคลุมหัว และที่สำคัญจากภาพที่ผู้เสียหายถ่ายเอาไว้ได้ก็ปรากฏให้เห็นชัดว่ามันคือบ่อนการพนันไม่ใช่โต๊ะสนุกเกอร์ ฉะนั้นการย้ายก็เป็นไปตามกระบวนการของระเบียบราชการอยู่แล้ว