จากกรณีมีคลิปครูผู้ชายตบบ้องหูนักเรียนชายหน้าห้องเรียน ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในคลิป ครูกำลังต่อว่านักเรียนชายที่ยืนก้มหน้าอยู่ และเดินไปดึงหู นักเรียนไม่มีท่าทีว่าจะต่อสู้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แอบถ่ายคลิปเอาไว้ เหตุการณ์ดังกล่าวถูกระบุว่าเกิดขึ้นในโรงเรียน ใน อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ขณะที่ครูในคลิปอ้างว่าไม่มีเจตนาทำร้าย เพียงต้องการสั่งสอนเด็กนักเรียนตามปกติ ด้านเด็กนักเรียนที่ถูกกระทำ เปิดใจว่าไม่โกรธครู และเข้าใจในความหวังดี (อ่าน :
นร. 13 คน รับเจ็บถูกตบบ้องหูหน้าชั้นเรียน แต่ไม่โกรธ เข้าใจครูหวังดี – เมียครูเผยผัวไม่รุนแรง เป็นที่รักของเด็ก)
ล่าสุด วันที่ 4 มิ.ย. 62 ผู้อำนวยการโรงเรียน ให้ข้อมูลว่า ครูที่ปรากฏในคลิป เป็นครูสอนภาษาไทย ขณะกำลังสอนนักเรียนชั้น ม.1 และที่ตบบ้องหูเด็กเพราะไม่ยอมส่งการบ้าน และโรงเรียนได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว
โดยวันนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 1 และผู้อำนวยการโรงเรียน ได้เชิญผู้ปกครองของเด็กนักเรียน ที่ถูกครูตบบ้องหู รวมทั้งนายกาหลง สุนทรพิทักษ์ ครูที่ปรากฏในคลิป เข้าประชุมและชี้แจงข้อเท็จจริง และซักถามปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ห้องประชุมของโรงเรียน
ทั้งนี้ ก่อนเข้าประชุม นางประมวล ยายของหลานที่ถูกครูตบบ้องหู บอกว่า เห็นคลิปหลานถูกทำโทษแล้ว และการที่ครูลงโทษเด็กที่ไม่ส่งการบ้าน ถือเป็นเรื่องธรรมดา และก็ไม่คิดอะไรกับคลิปดังกล่าว เพราะอยากให้ลูกศิษย์เป็นคนดี ประกอบกับตนรู้จักกับครูที่ลงโทษเด็ก ซึ่งเป็นครูที่ตั้งใจสอน ส่วนหลานตน เวลาครูให้ทำการบ้านก็ทำตลอด ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง และมีบางครั้งที่ไปลอกเพื่อนเวลาทำไม่ได้
นางวันดี อายุ 60 ปี ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ถูกทำร้ายหนักสุด บอกว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และที่ทราบ ครูคนดังกล่าวได้ลงโทษเด็กลักษณะเช่นนี้มาแล้วหลายรุ่น แต่ไม่มีหลักฐาน และครูคนนี้เคยถูกผู้บริหารตักเตือนมาแล้วหลายครั้ง ส่วนตัวอยากให้ย้ายครูออกจากพื้นที่ และขอให้ทางโรงเรียนรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครองส่วนใหญ่ ไม่เช่นนั้นเด็กจะไม่เรียน โดยเฉพาะวิชาของคุณครูคนนี้ ขณะเดียวกัน ทราบว่ามีผู้ปกครองบางคนจะย้ายลูกไปเรียนที่อื่นแล้ว
อีกทั้ง ที่ผ่านมาตนไม่เคยลงโทษลูกหลานอย่างที่ครูคนดังกล่าวทำ จะมีบ้างก็ดุ ว่ากล่าวตักเตือน และยอมรับว่ามีบ้างที่ลูกหลานดื้อ แต่ก็ไม่ถึงกับดื้อจนเอาไม่อยู่