จากกรณีผู้สื่อข่าวได้รับคลิปจากชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 7 บ้านควนคะล่อม ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร เป็นเหตุการณ์บางส่วนที่แสดงถึงพฤติกรรมคลุ้มคลั่งของ “นายเอกพงษ์ บุญรอด” หรือ “นายปาล์ม” อายุประมาณ 32 ปี ชาวบ้านในหมู่เดียวกัน ซึ่งเมื่อ ต.ค. 65 ถูกตำรวจ สภ.สวี จับในคดีอาวุธปืน เนื่องจากเอาปืนพกสั้นออกเดินข่มขู่ชาวบ้าน ลักษณะคล้ายคนเมาสารเสพติด
ปัจจุบันอยู่ในระหว่างประกันตัวชั่วคราว ติดกำไล EM ที่ข้อเท้าไว้และรอพิจารณาคดีในชั้นศาล ก็เลยกลับมาก่อเหตุวุ่นวายอีกเรื่อย ๆ ทั้งอาละวาท ระรานชาวบ้าน จุดระเบิดปิงปองใส่บ้าน ทำลายทรัพย์สินไปทั่ว พูดจาข่มขู่จะยิง เป็นแบบนี้มาร่วมแรมปี จนชาวบ้านต่างพากันหวาดแรง
ล่าสุดวันที่ 14 พ.ย. 65 เวลา 17.00 น. ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีเดินทางไปที่ศาลาของชุมชนดังกล่าว พบว่ามีการนัด “นายปาล์ม” และชาวบ้านในพื้นที่มาเจรจาหาข้อตกลงในการอยู่ร่วมกัน โดยมี “นายบุญก้อง ศรีสงคราม” ปลัดอำเภอสวี หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สวี มาเป็นตัวกลาง ซึ่งระหว่างที่มีการประชุมกันนั้น ชาวบ้านประมาณ 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมของ “นายปาล์ม” ก็มีอารมณ์กันพอสมควร เนื่องจากในช่วงแรก “นายปาล์ม” ปฎิเสธในทุกข้อกล่าวหา จึงทำให้เกิดเหตุการณ์หวิดปะทะกันเกิดขึ้น
อย่างเรื่องของ “น.ส.ฤทัยรัตน์ วงจีน” อายุ 37 ปี ที่โดน “นายปาล์ม” ปาระเบิดปิงปองใส่หน้าบ้าน เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 65 วันนี้เจ้าตัวกับสามีก็ไม่พอใจเป็นอย่างมากเพราะ “นายปาล์ม” อ้างว่าที่เขาต้องทำแบบนั้น เพราะ “น.ส.ฤทัยรัตน์” ไปแจ้งความจับเขาเรื่องยาเสพติด ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นความจริง เพราะคนที่แจ้งจับคือแม่ของ “นายปาล์ม” เอง วันนี้ทั้งคู่จึงเกือบจะได้วางมวยกับ “นายปาล์ม” แต่ยังดีที่เจ้าหน้าที่ห้ามไว้ก่อน เช่นเดียวกับชาวบ้านอีกคนที่ถูก “นายปาล์ม” ใช้มีดฟันจนได้รับบาดเจ็บเมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้เจ้าตัวก็ไม่พอใจอย่างมาก เพราะลูกชายไม่ได้ไปทำอะไรให้ก่อนเลยกลับโดนทำร้าย จึงมีการเถียงกับ “นายปาล์ม” เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
จนสุดท้าย เวลา 18.30 น. ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จากการเจรจาโดยเจ้าหน้าที่ก็ทำให้ “นายปาล์ม” ยอมสงบสติ และยกมือไหว้ขอโทษชาวทุกคนที่เคยทำให้เดือดร้อน แต่ด้วยความที่ชาวบ้านต่างคับแค้นใจ จึงยังคงด่าทอ “นายปาล์ม” ไม่หยุด ทำให้ “นายปาล์ม” เครียดบ่นว่าปวดหัว เนื่องจากเมื่อคืนนี้ที่มีไปใช้มีดฟันชาวบ้าน ก็โดนชาวบ้านสวนกลับด้วยมีดจนหัวแตกเหมือนกัน ก็เลยทำให้ “นายปาล์ม” ลงไปนอนอยู่กับพื้น กลิ้งไปมาและส่งเสียงร้อง คล้ายกับคนของขึ้น
ระหว่างนั้นทีมข่าวก็พยามสอบถามญาติของ “นายปาล์ม” ว่าอาการนี้คืออาการปวดหัวเนื่องจากเครียด หรือว่า “นายปาล์ม” มีการลงของไว้ที่ตัวด้วย ญาติก็ยอมรับว่า “นายปาล์ม” สักยันต์หลายอย่างไว้ที่กลางหลัง ทั้งพ่อแก่ ทั้งหนุมาน เจ้าหน้าที่เห็นท่าไม่ดี จึงพยายามคุมตัว “นายปาล์ม” ขึ้นรถกระบะเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ระหว่างนั้น “นายปาล์ม” ก็สะบัดหนีและดิ้นแรงตลอด พร้อมกับพยายามจะพุ่งเข้าทำร้ายสามีของ “น.ส.ฤทัยรัตน์” ด้วย
จนกระทั่ง “น.ส.จารุวรรณ แดงขวัญทอง” อายุ 57 ปี แม่ของ “นายปาล์ม” เข้ามาพูดคุย ทำให้ “นายปาล์ม” ยอมให้เจ้าหน้าที่หามขึ้นรถกระบะ แต่ระหว่างนั้นชาวบ้านก็ยังสาปส่งไม่หยุด ทำให้แม่ของ “นายปาล์ม” เกิดความไม่พอใจและมีการปะทะคารมกับชาวบ้านอีกละลอกหนึ่งด้วย
ทีมข่าวมีโอกาสได้คุยกับ “น.ส.ฤทัยรัตน์ วงจีน” อายุ 37 ปี ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจาก “นายปาล์ม” เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าต้นสายปลายเหตุมาจากเมื่อเดือน ต.ค. 65 ที่ “นายปาล์ม” ถูกจับคดีปืนและคดียาเสพติด ตอนนั้น “นายปาล์ม” เข้าใจผิด คิดว่าตนเป็นคนแจ้งความ เพราะบ้านอยู่ติดกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่แจ้งจับก็คือ “น.ส.จารุวรรณ” แม่ของ “นายปาล์ม” เอง ซึ่งที่ผ่านมา ตนก็พยายามอธิบายตลอดว่าตนไม่ได้แจ้งจับและถาม “นายปาล์ม” เสมอว่าเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 พ.ย. 65 ช่วงเช้า “นายปาล์ม” ก็ไปโวยวายและทำลายข้าวของที่ร้านค้าของแม่เขาเอง ตามคลิปที่ถูกบันทึกไว้ แล้วพอตกบ่ายก็มาปาระเบิดปิงปองที่หน้าบ้านของเขาเอง 2 นัด ก่อนจะใช้หนังสติ๊กยิงมาที่หน้าบ้านของตนและบ้านชาวบ้านแถวนั้นรวมประมาณ 5-6 นัด ยังไม่พอ ตกค่ำ “นายปาล์ม” ยังมาเบิ้ลรถใส่หน้าบ้านตนอีก ถือว่าเมื่อวานนี้ “นายปาล์ม” สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านทั้งวันทั้งคืน
เจ้าตัวยืนยันว่าที่ผ่านมา ตนไม่เคยทำให้ “นายปาล์ม” เดือดร้อนเลย เพียงแค่เรื่องราวทั้งหมดมันมาจากความเข้าใจผิดของเขา และที่สำคัญตลอดเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านหลายคนรวมถึงตนต้องทนกับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของ “นายปาล์ม” มาตลอด ทุกครั้งที่เขาเสพยาจนยันได้ที่ ดึก ๆ ดื่น ๆ ตี 1 ตี 2 ก็จะเดินไปตามถนน ถือปืนถือมีดออกมาขู่ ด่าชาวบ้านด้วยคำหยาบไปเรื่อย หรือไม่ก็ไม่เคาะประตูบ้านชาวบ้าน จนชาวบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เจ้าตัวยอมรับว่าแม้วันนี้ “นายปาล์ม” จะยกมือไหว้ขอโทษและถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวไป แต่ก็ยังไม่เชื่อใจว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะจบ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “นายปาล์ม” ถูกจับกุม บวกกับดูจากพฤติกรรมของแม่ “นายปาล์ม” แล้ว ก็เหมือนจะไม่ได้ให้ความร่วมมือกับชาวบ้านสักเท่าไหร่ เพราะที่ “นายปาล์ม” กับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาอยู่กันคนละตำบล จึงไม่เห็นพฤติกรรมของลูกชายทั้งหมด
ดังนั้นสิ่งเดียวที่ตอนอยากจะขอให้เจ้าหน้าที่จัดการคือ ขอให้ “นายปาล์ม” และชาวบ้านทุกคนต่างคนต่างอยู่ ทำยังไงก็ได้ให้ “นายปาล์ม” ไม่ไประรานชาวบ้าน หากเป็นไปได้ก็ส่งให้เขาได้รับการบำบัดเลยก็จะดีมาก เพราะตนเชื่อว่าหากหมู่บ้านไม่มี “นายปาล์ม” ก็คงจะสงบ มีความสุขมากกว่านี้ และชาวบ้านไม่มีใครรู้เลยว่า ภายในใจของเขา หลังจากวันนี้เขาจะคิดยังไง
ขณะที่ “น.ส.จารุวรรณ แดงขวัญทอง” อายุ 57 ปี แม่ของ “นายปาล์ม” วันนี้ก็ยอมรับกับอมรินทร์ทีวีว่า ลูกชายเคยมีพฤติกรรมเสพยาเสพติดและเสพกัญชาจริงแต่ปัจจุบันเลิกไปแล้ว เพราะทางปลัดอำเภอนัดไปตรวจปัสสาวะทุก ๆ 3 วัน ก็ไม่เจอสารเสพติดมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ดังนั้นตนเชื่อว่าสาเหตุที่ลูกชายต้องแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกในวันนี้ เป็นเพราะชาวบ้านบีบบังคับลูกชายให้เป็นแบบนี้มากกว่า เหมือนกับว่าลูกชายกำลังโดนรุม และบีบไม่ให้ลูกชายอยู่ในหมู่บ้าน
ส่วนพฤติกรรมที่ว่ามีการพกปืน พกมีดไปขู่ชาวบ้านตามถนนนั้น ตนยอมรับว่าลูกชายมีปืนและมีมีดจริง แต่ปืนน่าจะเป็นปืนปลอมเพราะปัจจุบันไม่เห็นแล้ว สวนมีด เป็นมีดพกสั้น ๆ ซึ่งตนไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหน ส่วนระเบิดปิงปองก็อาจจะเป็นไปได้ว่าลูกชายอาจจะไปซื้อมาเก็บไว้ เพราะเขาเครียดที่ถูกชาวบ้านกดดัน ก็เอามาจุด แล้วสาเหตุที่ลูกชายต้องพกมีดเพราะมีปัญหากับชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้าน เดินไปไหนมาไหนก็โดนว่าตลอด แค่ลูกชายเดินผ่านสวนปาล์ม ชาวบ้านก็กล่าวหาว่าลูกชายไปขโมยปาล์มของเขา ทั้งๆที่ไม่จริง ไม่รู้ใครไปขโมย
เจ้าตัวยอมรับว่าช่วง 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา ลูกชายมีอาการคุ้มคลั่งผิดปกติ ซึ่งตนคาดว่าน่าจะมาจากอาการเครียด เพราะที่ผ่านมาลูกชายไม่ได้เสพยาแล้วและไม่ได้มีโรคประจำตัวด้วย บวกกับที่เห็นว่าอาการเขาคลั่งรุนแรงวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากของที่เขาสักยันต์ไว้บริเวณกลางหลัง เนื่องจากเมื่อวานนี้จู่ๆลูกชายก็มีอาการแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่ร้านค้ากับตน
ดังนั้นความประสงค์ของตนตอนนี้ คืออยากให้ลูกชายเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินว่าจริงๆแล้วลูกชายป่วยเป็นอะไรหรือเปล่า หากป่วยทางจิตก็จะได้ส่งเข้ารักษาหรือหากยังคงเป็นผลกระทบของสารเสพติด ก็จะได้ส่งบำบัดให้หาย ขณะเดียวกันตนก็อยากจะขอโทษแทนลูกชายที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับชาวบ้านหลายๆคนไปในวันนี้ด้วย ส่วนตัวเองก็รู้สึกผิดหวังไม่น้อยกับสิ่งที่ลูกเป็น ที่ผ่านมาพยายามเลี้ยงดูมาให้ดีที่สุด เพราะอยากให้ลูกเป็นคนดีเหมือนกับลูกคนอื่น เสียเงินไปไม่ใช่น้อยกับลูกคนนี้ จึงอยากขอโอกาสกับลูกชายด้วย