วันที่ 22 ธ.ค. 65 ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดพิจารณาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกรวม 9 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จากกรณีหลอกให้ร่วมลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อแพคเกจท่องเที่ยว และระบบสหกรณ์ออมทรัพย์
โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุนกลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตกลงไว้ และภายหลังไม่สามารถติดต่อได้ โดยในกลุ่มของผู้เสียหายมีหลายร้อยคนมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่าระหว่างการพิจารณาคดี นายประสิทธิ์ ได้ขออนุญาตไปเข้าห้องน้ำ โดยในห้องน้ำมีผู้นำเสื้อผ้า ชุดลำลองพร้อมกุญเเจไขเครื่องพันธนาการมาให้นายประสิทธิ์เปลี่ยนเพื่อหลบหนี
ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจศาล สามารถจับกุมตัวนายประสิทธิ์ไว้ได้ภายในอาคารศาลอาญา โดยขณะนี้ศาลกำลังตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดว่าใครเป็นผู้ช่วยเหลือนายประสิทธิ์ในการหลบหนีครั้งนี้
ต่อมาเวลา 13.30 น. นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า ที่ศาลอาญาเมื่อช่วงเช้าวันนี้นายประสิทธิ์ถูกคุมตัวมาที่ศาล เพื่อนัดสอบคำให้การกรณีหลอกลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์ การค้าธุรกิจบริการ และผลิตภัณฑ์ผสมผสาน จำกัด ความเสียหาย 1 ล้าน 9 แสนบาท ซึ่งเป็นคดีใหม่ที่ผู้เสียหายเพิ่งฟ้องเมื่อวานนี้
จากนั้นเมื่อสอบคำให้การที่ห้องเวรชี้เสร็จ นายประสิทธิ์ก็ขอใช้สิทธิ์ตรวจพยานหลักฐานในคดีเก่าที่ห้องพิจารณาคดี 903 ซึ่งที่ผ่านมาก็มักจะขอใช้สิทธิ์ตรวจพยานลักษณะนี้มาตลอดเจ้าหน้าที่จึงอนุญาต จากนั้นนายประสิทธิ์ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ส่าปวดท้องถ่ายหนักขอเข้าห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 1 คน จึงพาตัวนายประสิทธิ์ไปเข้าห้องน้ำและยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู
ระหว่างนั้นมีผู้สมรู้ร่วมคิดของนายประสิทธิ์อยู่ภายในห้องน้ำ และส่งกุญแจไขโซ่ตรวน รวมถึงเสื้อยืดสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าหุ้มส้นและหนวดปลอมให้กับนายประสิทธิ์ เมื่อนายประสิทธิ์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินเร็วออกจากห้องน้ำตรงไปยังบันไดกลางของอาคารศาล โชคดีที่มีจำเลยคดีอื่นที่เดินเข้าห้องน้ำเช่นกันสังเกตเห็นจึงตะโกนแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลที่อยู่บริเวณดังกล่าวให้เข้าจับกุม โดยเจ้าหน้าที่ไล่จับกุมนายประสิทธิ์ไปจนชั้น 3 ระหว่างนายประสิทธิ์ก็มีความพยายามจะปีนบันไดกระโดดหนีลงมาด้วย จนทำให้ได้รับบาดเจ็บบริเวณขาเล็กน้อย ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็สามารถจับกุมตัวนายประสิทธิ์ไว้ได้
เบื้องต้นจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งคาดว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของนายประสิทธิ์ จำนวน 3 คน เป็นเลขาของนายประสิทธิ์ และคนใกล้ชิดที่นำกุญแจและเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์ ซึ่งตำรวจ สน.พหลโยธิน อยู่ระหว่างการสอบปากคำ แต่เชื่อว่ามีการวางแผนกันมาเป็นอย่างดี เตรียมอุปกรณ์ปลอมตัวและติดหนวด และยังพบเงิน 1 หมื่นบาทที่ตัวผู้สมรู้ร่วมคิด ซึ่งจะต้องสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่ากุญแจที่ใช้เป็นการปั๊มกุญแจมาจากกุญแจต้นฉบับหรือมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ ส่วนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อ้างว่าเฝ้าอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำทราบว่าทางกรมราชทัณฑ์มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว เพราะไม่พบว่ามีการวิ่งตามจับกุมนายประสิทธิ์
ซึ่งเบื้องต้นนายประสิทธิ์ ถือว่าเข้าข่ายความผิดผู้ใดหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของศาล ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 190 ส่วนผู้สมรู้ร่วมคิดก็จะเข้าข่ายร่วมกันกระทำความผิด ต้องรับโทษเท่ากัน อย่างไรก็ตามทางศาลก็จะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในข้อหาละเมิดอำนาจศาล ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนด้วย
ขณะที่หลังจากนี้ทางศาลก็จะตรวจสอบ และเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นว่ามีช่องโหว่ตรงไหนให้ผู้ต้องหาหลบหนีหรือไม่ แต่ก็ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในห้องน้ำ รวมถึงการตรวจร่างกายญาติที่จะเข้าห้องพิจารณาคดีก็เป็นเรื่องยาก เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นสิ่งของที่นำมาเพื่อช่วยเหลือนักโทษหลบหนีหรือไม่
ด้าน ทนายความของนายประสิทธิ์ ที่เดินทางมายัง สน.พหลโยธิน เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตนเป็นทนายความของนายประสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาตนจะเดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อว่าความให้กับนายประสิทธิ์ทุกครั้ง แต่วันนี้เป็นการตรวจพยานตนจึงไม่ได้เดินทางมาด้วย และเพิ่งทราบเรื่องนายประสิทธิ์พยายามปลอมตัวหลบหนีจากศาลอาญา ตนจึงเดินทางมาที่ สน.พหลโยธิน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงทั้งหมดและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในศาลว่าเกิดเหตุอย่างไร
ทนายความของนายประสิทธิ์ ยังเปิดเผยอีกว่าก่อนหน้านี้ที่ได้ไปเยี่ยมนายประสิทธิ์ ต้องยอมรับว่าเขามีลักษณะเครียดเนื่องจากถูกกลุ่มผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งไปร้องเรียนที่เรือนจำว่า นายประสิทธิ์อยู่ในเรือนจำแล้วมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น พยายามที่จะให้นายอภิสิทธิ์ถูกย้ายเรือนจำไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งหมายความว่านายประสิทธิ์จะต้องเริ่มต้นใหม่ พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่นายประสิทธิ์รวบรวมไว้สู้คดีอาจจะสูญหายเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ที่ผ่านมานายประสิทธิ์ไม่มีท่าทีหรือการพูดคุยถึงประเด็นการหลบหนีกับตนเองแต่อย่างใด
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ตำรวจควบคุมตัวชายสูงวัยได้คนหนึ่ง ที่เป็นผู้นำเสื้อผ้าไปไว้ในห้องน้ำให้กับนายประสิทธิ์ ทนายความแจ้งว่าจากการที่ตนเองนั่งรอข้อมูลจากตำรวจสังเกตุเห็นมีการควบคุมตัวชายสูงวัยเข้าไปที่ห้องสอบสวนจริง 1 คน สวมเสื้อแจ็คเก็ต โดยผู้กำกับกำลังสอบปากคำอยู่และได้ให้ตนออกมานั่งรอด้านนอก
ทีมข่าวสอบถามทนายความว่าพอรู้จักชายสูงวัยคนนี้หรือไม่ ทนายแจ้งว่าจำได้ว่าคือคนที่เป็นผู้เสียหายของนายประสิทธิ์และถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่ฟ้องร้องนายประสิทธิ์ซึ่งนายประสิทธิ์มีผู้เสียหายนับ 1000 คน โดยทั้งพันกว่าคนนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มคนฟ้องร้องข้อหาฉ้อโกง และกลุ่มคนไม่ฟ้องร้องหรือกลุ่มศรัทธา
ทีมข่าวได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ระบุว่าการเบิกตัวนายประสิทธิ์ผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางคลองเปรมไปที่ศาลอาญา โดยเริ่มเบิกตัวผู้ต้องขังเมื่อเวลา 07.30 น. ระหว่างที่เบิกตัวไปเจ้าหน้าที่ได้ใส่กุญแจที่ข้อเท้านายประสิทธิ์โดยกุญแจมี การนำกุญแจมาไขล็อกข้อเท้านายประสิทธิ์อย่างแน่นหนาแล้ว 1 ดอก ส่วนอีก 1 ดอกเป็นดอกสำรองก็ถูกเก็บไว้อย่างมิดชิดโดยทั้ง 2 ดอกอยู่ที่เรือนจำ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวนายประสิทธิ์ไปยังศาลอาญาประมาณ 08.30 น. และเจ้าหน้าที่นำตัวประสิทธิ์ขึ้นห้องพิจารณา 903 เวลา 09.30 น. ระหว่างรอผู้พิพากษาลงนั่งบัลลังก์ประมาณ 10.00 น. นายประสิทธิ์แจ้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ว่าปวดท้องถ่ายหนัก ขอไปเข้าห้องน้ำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ 1 คนจึงคุมตัวประสิทธิ์ไปเข้าห้องน้ำ โดยตัวเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำ
หลังจากประสิทธิ์เข้าไปในห้องน้ำก็ปลดกุญแจข้อเท้าออกด้วยกุญแจและเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดและกางเกงขายาว ก่อนจะวิ่งออกมา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เห็นจึงรีบพยายามคว้าตัวประสิทธิ์ มีการฉุดกระชาก ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่ชั้น 9 มาจนถึงบริเวณบันไดชั้น 7 โดยมีทั้งเจ้าหน้าที่ของทางราชการและตำรวจศาลช่วยกันควบคุมตัวนายประสิทธิ์
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวนายประสิทธิ์จากศาลโดยส่งกำลังไปควบคุมพิเศษกลับเข้าเรือนจำในเวลา 13.00 น. เท่าที่ได้สอบถามนายประสิทธิ์ถึงสาเหตุการพยายามหลบหนีบอกว่าเครียด โดยพฤติการณ์ของนายประสิทธิ์หลังหลบหนีพบว่ามีลักษณะท่าทางขุ่นคิด เครียด คิดมาก เรื่องคดีความ ส่วนการก่อเหตุผู้ร่วมขบวนการในการช่วยเหลือเรื่องนี้ยังไม่สามารถตอบได้ อยู่ในขบวนการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังสอบสวน ซึ่งจะเป็นคนในหรือคนนอกร่วมมือกันก็ไม่สามารถตอบได้
ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งมาหรือแม้ครั้งอดีตกาลยังไม่เคยมีกรณีผู้ต้องขังสะเดาะกุญแจข้อเท้าได้ ที่ผ่านมามีเพียงเป็นการใช้คีมหนีบข้อเท้า ก็มีความเป็นไปได้ถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจทำให้มีกุญแจอีกดอกหนึ่ง
เบื้องต้นทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์สั่งการให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวแล้ว และกำชับต้องจับตัวคนร่วมขบวนการพาผู้ต้องขังหลบหนีให้ได้ภายใน 7 วัน สำหรับนายประสิทธิ์จะมีความผิดทางวินัยของทางราชทัณฑ์ ข้อหาพยายามหลบหนี ซึ่งก็จะถูกงดเยี่ยมแต่ระยะเวลาเท่าไหร่ยังไม่สามารถตอบได้ ส่วนทางอาญาขึ้นอยู่กับศาลว่าจะแจ้งมายังเจ้าหน้าที่หรือไม่ หลังจากที่นายประสิทธิ์กลับไปที่เรือนจำก็ได้เข้าห้องสอบสวนกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
ล่าสุดเมื่อเวลา 19.40 น. ตำรวจเชิญตัวเป็นเลขาของนายประสิทธิ์และแฟนหนุ่มของเลขามาที่ห้องสืบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อทำการสอบปากคำเกี่ยวกับกรณีนายประสิทธิ์พยายามหลบหนีระหว่างการนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีฉ้อโกงประชาชน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตอนนี้ตำรวจยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยอยู่ระหว่างการสอบถามที่ศาลอาญาและรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่าง ๆ ว่าทั้งสามคนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพยายามหลบหนีของนายประสิทธิ์หรือไม่