"ชูวิทย์" อ้างพบพิรุธหลายอย่างในการทำสำนวนคดี “ตู้ห่าว” ของตำรวจ ชี้ตั้งใจทำสำนวนอ่อน จี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลลาออก
วันที่ 25 ธ.ค. 65 ที่โรงแรม เดอะ เดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าว "รับวันคริสต์มาส" เพื่อมอบของขวัญเป็นคำถามให้กับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า ในส่วนของการทำสำนวนคดีของตำรวจ เปรียบเหมือนการปรุงอาหาร ที่ตำรวจเป็นคนปรุงและส่งให้อัยการชิม ก่อนเสริฟให้ศาลเพื่อตัดสินว่า อร่อย(ลง) หรือ ไม่อร่อย (สำนวนอ่อน ยกฟ้อง) ซึ่งขณะนี้ตนเองมองว่าการทำคดีนี้ เป็นการสมคบคิดร่วมกันทำ มีการทำอาหารจานนี้ หรือสำนวนคดีมีความหละหลวม ไม่รัดกุม มีหลายประเด็นที่มีข้อสงสัย หากปล่อยให้สำนวนคดีนี้ไปถึงชั้นศาล ย่อมอาจเป็นช่องว่างให้ทางทนายความฝั่งจำเลยใช้ช่องเหตุแห่งความสงสัยต่างๆ สู้คดี
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาตนเองออกมาพูดเรื่องการเอาผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาโดยเฉพาะนายตู้ห่าว ในเรื่องของการฟอกเงินมาตลอด แต่ทางตำรวจได้มีการดำเนินการมีการปล่อยทิ้งระยะเวลาไปนานถึงสองเดือน จึงจะเริ่มมีการแจ้งข้อหาเมื่อวานนี้ ซึ่งในเรื่องของทรัพย์สินตนเองตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการยักย้ายถ่ายเทไปแล้วหลายส่วน โดยหากมองจากไทม์ไลน์ลำดับเหตุเหตุการณ์ วันที่ 26 ต.ค. เป็นวันเข้าจับกุมตรวจค้นจินหลิง จับนายตู้ห่าว วันที่ 22 พ.ย. จนมาเมื่อวานวันที่ 24 ธ.ค. เพิ่งจะมีการแจ้งเรื่องฟอกเงิน กับผู้ต้องหา แต่ไม่มีการแจ้งกับนายตู้ห่าวแต่อย่างใด
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ส่วนคำถามในข้อแรกที่ตนเองอยากให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตอบต่อสังคมคือ การเข้าค้นรอบแรกวันที่ 26 ต.ค. ได้ของกลางจากจินหลิง และลีลา รวมยาเสพติดกว่า 4.5 กิโลกรัม แต่ไม่เข้าค้นวิบวับคาร์วอชทั้งที่เป็นบ้านเลขที่เดียวกัน ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่กลับมาค้นที่วิบวับคาร์วอช อีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย. เวลา 17.00 ถึง 18.00 ค้นพบของกลางยาเสพติด 950 กรัม ทำไมจึงไม่ทำการค้นตั้งแต่วันแรกที่เข้าค้น เพราะมีการลงเวลาการค้นเพียง 1 ชั่วโมง ตนเองมองว่า วิบวับคาร์วอช เป็นคลังในการเก็บยาเสพติด ส่วนจุดที่ค้นในวันที่ 26 ต.ค. เป็นเพียงจุดขายปลีก ดังนั้นตนเชื่อว่าการทิ้งไว้นานถึง 5 วันเป็นช่องให้มีการยักย้ายถ่ายเทยาเสพติดออกจากพื้นที่ แม้จะมีการอ้างว่ามีการส่งกำลังตำรวจเข้าไปปิดล้อมพื้นที่แต่พบว่าเป็นเพียงสิบตำรวจสองคนที่เข้าไปดูแลสถานที่ อีกทั้งสำเนาบันทึกของกลางที่เข้าตรวจค้นในวันที่ 26 ต.ค. ก็สูญหายที่ สน.ยานนาวา จนถึงขณะนี้ยังไม่พบเอกสารดังกล่าว ที่ผ่านมานานกว่า 5 วันเป็นการจงใจทำให้เกิดสิ่งใดหรือไม่ จุดนี้เป็นประเด็นที่ตนเองในฐานะประชาชนสามารถตั้งคำถามได้และผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องตอบคำถามในประเด็นนี้ให้ได้อย่างชัดเจน เพราะการทิ้งระยะเวลาผ่านไปถึงห้าวันอาจส่งผลกระทบกับตัวสำนวนคดีอย่างมาก
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า คำถามข้อที่ 2 วันเข้าค้นวันที่ 26 ต.ค. เลขคดี 794/2565 ไม่มีการลงระบบ Crime ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ในวันเข้าค้นวันที่ 1พ.ย. เลขคดี 803/2565 กลับมีการลงบันทึก เป็นการเข้าค้นในวันที่ 2 พ.ย. ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อีกทั้งการเข้าค้นในวันที่ 1 พ.ย. ตำรวจพบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏภาพของบุคคลหนึ่งอยู่ในสถานที่ดังกล่าว แต่ตำรวจกลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่สถานที่ดังกล่าวมีการตรวจพบยาเสพติด และกลับลงในระบบฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าไม่พบผู้กระทำความผิดในวันเข้าตรวจค้น ตนฝากถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า หากไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะถูกเขย่าสั่นไหว ตนเองจึงขอแนะนำให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งให้มีการเปลี่ยนตัวและหาคนอื่นมาทำงานแทน เนื่องจากเชื่อว่าสุดท้ายหากยังคงปล่อยให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เป็นผู้รับผิดชอบในการทำคดี จะเหมือนคดีของหลงจู๊ สมชาย ที่ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เคยทำสมัยที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่ขณะนั้นมีการเข้าตรวจค้นยึดทรัพย์สินอย่างเอิกเกริก แต่สุดท้ายศาลยกฟ้องโดย ให้เหตุผลถึงหลักฐานของทางตำรวจอ่อนเกินไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในหลายหลายเรื่องพบว่ามีความบกพร่องในสำนวนคดีอย่างมากมาย
“ต่อจากนี้ ผมเตรียมจะเข้าพบอัยการที่รับผิดชองสำนวนของดีเอสไอ ที่มีการตรวจพบว่ามีการรับโอนเงินกับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์หลายล้านบาท เพื่อติดตามการทำงานในประเด็นนี้ ในการแถลงครั้งต่อไป ผมจะชี้แจงว่าเหตุใด ผมถึงยืนยันมาตลอดว่า เป็นคดีนอกราช เพราะมีการวางแผนในประเทศจีน ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร รอติดตามตอนต่อไป” นายชูวิทย์ กล่าว