เผยนาทีสยอง! ศพฝรั่งร่วงทะลุบ้าน เจ้าของใจแข็งไม่สะท้าน ห่วงแค่หลังคาพังทำฝนรั่ว (คลิป)

จากกรณีชายชาวสวีเดน กระโดดตึกคอนโดมีเนียม ความสูง 8 ชั้น จนตกลงมาทะลุหลังคาบ้าน. 2 ชั้นที่อยู่ติดกัน ในซอยพหลโยธิน 3 เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ภายหลังที่มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท ได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านหลังหนึ่งว่า พบชายชาวต่างชาติตกคอนโดมิเนียมร่างทะลุหลังคาบ้านชั้นสองของบ้านเลขที่ 17 ซอยพหลโยธิน 3 กทม. จึงรุดไปตรวจสอบ พบศพชายชาวต่างชาติ อายุประมาณ 30 ปี สีผิวขาว สูงประมาณ 185 เซนติเมตร ไม่พบเอกสารยืนยันตัวตน อยู่ในสภาพนอนหงายบนโซฟาชั้น 2 ของบ้าน มีเลือดไหลเต็มใบหน้า

ล่าสุด 7 กรกฎาคม 2560 ทีมข่าวเดินทางไปยังที่เกิดเหตุ พบเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งอยู่ติดกับคอนโดมิเนียม พบนายอุทัย อุทัยศรี อายุ 81 ปี เจ้าของบ้าน ได้พาไปดูจุดเกิดเหตุบนห้องนอนของลูกชาย ชั้น 2 ที่ฝ้าหลังคายังเปิดเป็นรอยทะลุความยาวเกือบ 2 เมตร ส่วนหลังคาได้ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว บริเวณชั้นที่ 1 ข้างห้องน้ำได้เช็ดทำความสะอาดคราบเลือดที่หยดลงมาแล้วเช่นกัน

นายอุทัย เล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อคืนตนนอนชั้น 2 ภรรยานอนที่ชั้น 1  ช่วงเกิดเหตุกลางดึกที่ผ่านมา ขณะนอนอยู่ได้ยินเสียงดัง ตึ้ง ค่อนข้างดัง และมีแรงสะเทือนเล็กน้อย คิดว่าน่าจะมีอุบัติเหตุรถชนกำแพง จึงไม่ได้สนใจและนอนต่อ ก่อนที่เวลาประมาณ 03.00 น. ภรรยาที่นอนอยู่ชั้นล่าง ได้ลุกออกมาจะเข้าห้องน้ำ แต่กลับพบเลือดหยดลงพื้นจากบนฝ้าเพดาน จึงเดินขึ้นชั้น 2 มาดูในห้องลูกชาย พบชายต่างชาติมีเลือดไหลตามตัวนอนแน่นิ่ง จึงมาเคาะประตูเรียกตนให้เข้าไปดู

เมื่อตนเข้าไป เห็นสภาพดังกล่าวตอนแรก คาดว่า เป็นคนร้ายที่จะเข้ามาขโมยทรัพย์สิน แต่เกิดพลาดท่าตกลงมา จึงรีบโทรแจ้งตำรวจว่ามีคนตกลงมาจากที่สูง ก่อนเข้าไปตรวจสภาพชายรายดังกล่าวพบว่า เสียชีวิตแล้วและมีบาดแผลที่ศีรษะเท่านั้น โดยห้องเกิดเหตุเป็นห้องลูกชายที่จะกลับมานอนนานๆครั้ง ตอนนี้จึงรีบซ่อมหลังคาเพราะกลัวฝนตก และได้ล้างคราบเลือดออกไปหมดแล้ว หลังจากนี้จะเร่งซ่อมฝ้าเพดาน ให้กลับมาเป็นปกติ ทั้งนี้ตนไม่ได้รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะสภาพศพไม่ได้เละเทะน่ากลัว คิดว่าจากนี้ก็ยังใช้ชีวิตในบ้านตามปกติ และจะทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตต่อไป  ส่วนค่าเสียหายเรื่องการซ่อมแซมบ้าน นายอุทัยระบุ ว่าคงใช้เงินจำนวนไม่มากนัก จึงรีบออกเงินตัวเองไปก่อน หลังจากนี้ก็ค่อยพูดคุยว่าใครจะรับผิดชอบ