"เบลล่า ราณี" เปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงชีวิตการทำงานที่ต้องเป๊ะ ฝันที่ไม่กล้าฝัน วันที่เป็นของเรา เผยเมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แถมเป็นคนคิดเยอะ
"เบลล่า ราณี" ในวันนี้คือชีวิตในฝันของคุณเลยไหม ?
"มันไม่ใช่ฝันของตอนเด็กค่ะ ฝันในตอนเด็กไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจนมาก อยากทำงานที่มันได้เดินทางท่องเที่ยวได้เจอคนเยอะๆ ได้ทำงานที่ไม่น่าเบื่ออาชีพนี้ก็ตอบโจทย์ตรงนั้น แต่พอได้เข้ามาการมีคนรู้จัก หรือมีชื่อเสียงมากขนาดนี้มันไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิต"
"มีแอบคิดแต่เป็นฝันที่ไม่กล้าฝัน ตอนที่เข้ามาแรกๆ ว่ามันจะมีไหมวันนั้น วันที่เป็นของเรา แต่พอมาถึงปุ๊บ Oh my god มันมากับความรับผิดชอบที่เราไม่คิดเลยว่าจะขนาดนี้ การเป็นคนของประชาชน คนสาธารณะ เราจะต้องเป็นตัวของตัวเองที่มีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น คิดรอบด้านมากขึ้น อยากจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับทุกคนและเรื่องการทำงานของตัวเองด้วยให้ดีที่สุด"
ความเป๊ะของ "เบลล่า" ในการทำงาน ?
"ถ้าทำงานเป๊ะ ไม่เชิงเป๊ะหรอก แต่ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างใส่ใจรายละเอียด เหมือนเป็นคนช่างสังเกตมั้งคะ อย่างเรานั่งเห็นเขากำลังซ้อมกันอยู่ เราจะดูว่าเขาทำอะไรอยู่ บางทีหูก็ดันไปได้ยินว่า ลูกค้าพูดว่าอยากได้อะไรประมาณนี้ พอเราได้ยินก็รู้แล้วว่าเขาต้องการอะไร พอเราเดินเข้าเซ็ตไป ก็ตามนั้น"
สิ่งที่เครียดที่สุดในการเป็น "เบลล่า" คือ ?
"เมื่อก่อนจะเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แถมยังเป็นคนที่คิดเยอะ จะดูเหมือนเป็นข้อเสีย แต่ว่าในความคิดเยอะนั่น มันคือข้อดี ที่ทำให้เราละเอียดมากขึ้น แล้วทีนี้เราจะทำยังไงที่จะทะลายความไม่มั่นใจ คือเราคิดเยอะไปหมด มันดีที่สุดหรือยัง ดีแล้วใช่ไหม จนเราต้องเอาความคิดเยอะของเรามากลั่นกรองว่าเอาเท่านี้ก็พอ สุดท้ายมันก็จะกลมกล่อมออกมาเป็นเรา ไม่ต้องเพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง การหลุดๆ หรือปล่อยให้มันเกิดขึ้นในโมเมนต์มันก็ดี"
สุขที่สุดในชีวิตของ "เบลล่า" นึกถึงอะไร ?
"เบลว่ามันคือการให้ การที่เราได้ช่วยเหลือผู้คน หรือว่าช่วยสัตว์โลกอะไรแบบนี้ มันเป็นเป้าหมายในชีวิตของเบลอยู่แล้ว อยากทำตรงนี้ รู้สึกว่ามีคุณค่าในการมีชีวิตอยู่ของเบล"
"ถามว่าได้ความคิดนี้มาจากอะไร คงจะเป็นที่บ้าน คุณพ่อเขาชอบช่วยเหลือคนมาก ช่วยทุนการศึกษาเด็ก คือช่วยตรงไหนได้เขาจะช่วย ทั้งเรื่องของแรงและเรื่องของทรัพย์ เลยเป็นความตั้งใจของเราว่า ถ้าเราได้ ถ้าเรามี เราจะแบ่งปันมันออกไป อยู่กับเราบางทีมันไม่ได้มีค่าเท่ากับการแบ่งให้คนอื่น"
ถ้านึกถึงโมเมนต์ที่เศร้าที่สุด นึกถึงอะไร ?
"ตอนคุณพ่อเสีย คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการสูยเสียคนในครอบครัว แต่เบลก็บาลานซ์มากับความเข้าใจ มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ"
หลังจากคุณพ่อจากไป ต้องเจอกับอะไรและปรับตัวยังไง ?
"ในตอนนั้นเรียนโท แล้วก็ถ่ายละคร 2 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือบุพเพสันนิวาส ก็หนัก แต่ว่าเหมือนเราโฟกัสที่งาน แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา ที่เราทำมันทั้งหมด เราดูแลเขาแบบดีที่สุด คือเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเจอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราพยายามธรรมะ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราไปต่อได้ แล้วเราก็ยังจะทำงานให้ออกมาดีที่สุด อยากจะให้เขาภูมิใจว่า ถ้าเขามองลงมาว่าเราโอเคอยู่ได้ ก็จับมือแน่นๆกับคุณแม่ค่ะ วันไหนที่คุณแม่แย่ เราก็จะเป็นเสาที่แบบแข็งแกร่ง เราอยู่กัน 3 คน เป็นลูกคนเดียวค่ะ คุณพ่อคุณแม่สอนมาตั้งแต่เด็กว่า เราจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าพ่อแม่ไม่รู้ว่าจะอยู่กับเราไปได้อีกนานเท่าไหร่ ฉะนั้นเราก็ดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และเขาให้เราทำใจตรงนี้เอาไว้แล้ว"
"แต่ว่าต้องเช็คตัวเองดีๆ ค่ะ มันจะมี After Shock ตอนแรกที่เหมือนทำใจได้ สักพักมันจะมีภาวะบางอย่าง ถ้าไม่ไหวต้องพบผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะไปในสายธรรมะ หรือ พบแพทย์ ของเบลมีผู้ใหญ่แนะนำให้ไปหาหมอ เพราะเราเป็นคนรักครอบครัวมาก และเป็นลูกคนเดียว ในภาวะที่เราจต้องแบกทุกอย่าง ให้ลองไปคุย ลองไปรึกษาหน่อยไหม เผื่อได้ระบาย ตอนนั้นก็ได้ไปค่ะ "
เป็นคนปล่อยวางง่ายมาก ?
"มันต้องล้างทุกวันค่ะ แบบวันนี้เราทำงานเสร็จมาแล้ว เราก็มีเวลาก่อนนอน วันนี้เป็นยังไงบ้าง อันนี้เราทำเก่งมากนะ อันนี้เราทำดีที่สุดแล้วมันได้แค่นี้ ช่างมันเถอะ ให้ในเป็นหน้าที่ของคนอื่นไป เราก็นอนซะนะ นอนหลับให้เต็มที่ เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปทำสิ่งดีๆ หรือทำผลงานต่อไป"